แผนที่ "พาท่านมาหาเรา....
ทำความรู้จักมะม่วง
มะม่วงมีกี่ชนิด
สายพันธุ์ มะม่วง สำหรับผู้บริโภค ด้วยสายพันธุ์ที่หลากหลาย เราจึงแบ่งมะม่วงออกเป็น 3 ประเภท ตามความนิยมในการรับประทาน
1. สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานดิบ คือ มีรสหวาน มัน แต่พอสุกจะมีรสหวานชืด ไม่อร่อย หรือบางสายพันธุ์มีรสเปรี้ยว นิยมรับประทานกับน้ำปลาหวาน เช่น
- มะม่วงเขียวเสวย รสมันอมเปรี้ยว
- มะม่วงแรด รสชาติอมเปรี้ยว
- มะม่วงฟ้าลั่น มีรสมัน
2. สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานสุก คือ มีรสเปรี้ยวตอนที่ยังดิบ แต่เมื่อสุกแล้วเนื้อมะม่วงจะเหลือง หวาน อร่อย นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน เช่น
- มะม่วงน้ำดอกไม้
- มะม่วงอกร่อง
3. สายพันธุ์ที่นิยมนำมาแปรรูป คือ เมื่อแก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว หรือหวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็น มะม่วงดอง มะม่วงกวน และอื่นๆ เช่น
- มะม่วงแก้ว หรือที่เรียกกันว่า ‘มะม่วงอุตสาหกรรม
สายพันธุ์ มะม่วง สำหรับเกษตรกร : แบ่งมะม่วงออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มมะม่วงในฤดู
1. มะม่วงในฤดูรับประทานสุก ได้แก่
- อกร่องทอง มีร่องตื้น ตรงกลางด้านหน้าผล เป็นมะม่วงอกร่องที่กลายพันธุ์มาจากอกร่องเขียว แต่มีลักษณะคล้ายกับอกร่องเขียว แตกต่างจากอกร่องเขียวที่ขนาดผลใหญ่กว่า และผลดิบมีสีเขียวอ่อน เนื้อผลมีสีขาว มีรสเปรี้ยวจัด ผลแก่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ผลสุกมีสีเหลืองทองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อผลละเอียด สีเหลืองอ่อนหรือสีครีม มีเสี้ยนเล็กน้อย มีรสหวานมาก และหวานมากกว่ามะม่วงทุกชนิด
- อกร่องเขียว เป็นมะม่วงอกร่องพันธุ์ดั้งเดิม ผลดิบมีสีเขียวอ่อน และมีนวล เนื้อผลมีสีขาว มีรสเปรี้ยวจัด ผลแก่หรือผลห่ามมีรสเปรี้ยวอมหวาน ผลสุกมีสีเปลือกเขียวอ่อน มีเสี้ยนเล็กน้อย มีรสหวานมาก
- อกร่องไทรโยค เป็นมะม่วงอกร่องที่มีกลิ่นหอมนาน หวานสนิท
- อกร่องพิกุลทอง ผลใหญ่กว่าอกร่องปกติสามเท่า รสชาติก็ธรรมดา ไม่เป็นที่นิยมนัก
- พิมเสนแดง ผลสุกจะมีรสชาติหวานหอมอร่อยมาก โดยเฉพาะกลิ่นจะหอมชื่นใจคล้ายกับกลิ่นหอมของมะม่วงมหาชนก แต่จะมีความหวานเย็นมากกว่า ส่วนสีของผลสุกจะเป็นสีแดงอมส้มสวยงาม
- นาทับ เวลาสุก เนื้อจะละเอียด เหนียว แน่นไม่เละ ไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานหอมคล้ายเนื้อ
มะม่วงอกร่อง
- แก้วลืมรัง ผลไม่ใหญ่ เรียวยาว มน แบนนิดๆ ปลายผลเรียวงอนิดๆ ผลสุกหวานอร่อยมาก เนื้อแน่น กินกับข้าวเหนียวมะม่วงอร่อย นิยมส่งออก สายพันธุ์ไม่แพร่หลาย เป็นมะม่วงเฉพาะถิ่น
- หนังกลางวัน (มะม่วงงาช้าง) ผลใหญ่ รสชาติหวานหอมอ่อนๆ รสไม่จัด เนื้อเหนียวแน่น เนื้อมากเมล็ดบาง เป็นมะม่วงนิยมส่งออก
- ยายกล่ำ ผลสุกเนื้อจะมีรสชาติหวาน ไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยน รับประทานอร่อยมาก ผล
ดิบรสเปรี้ยวจัดใช้คั้นน้ำปรุงอาหารแทนน้ำมะนาวได้
- ทองดำ ผลสุก เปลือกสีเขียวเข้ม เนื้อสีส้ม รสชาติหวานมัน
- แรด ผลสุกจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม
- การะเกด ผลสุก เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม หวานหอม ไม่มีเสี้ยน เนื้อเยอะไม่เละแม้เนื้อจะสุกงอม เมล็ดไม่ใหญ่ ส่วนผลดิบ รสชาติเปรี้ยวจัดนำไปปอกเปลือกแล้วสับเป็นฝอยปรุงเป็นยำมะม่วงใส่ยำชนิดต่างๆ หรือใส่น้ำพริกแทนการใช้น้ำมะนาวเพิ่มรสชาติให้มีกลิ่นหอมเปรี้ยวกรอบรับประทานอร่อยมาก
- หมอนทอง มีขนาดลูกที่ใหญ่มาก บางลูกหนักเป็นกิโลกรัม เนื้อเยอะเสี้ยนน้อย เมล็ดลีบ
เปลือกบาง กลิ่นหอม รสหวาน
2. มะม่วงในฤดูรับประทานดิบ ได้แก่
- เขียวเสวย ผลดิบ ผิวเปลือกจะมีสีเขียวเข้ม เมื่อแก่ผิวเปลือกจะออกสีนวล เนื้อเป็นสีขาวจะมีความละเอียด กรอบ มีเสี้ยนค่อนข้างน้อย รสเปรี้ยว เมื่ออ่อน เมื่อแก่จัดจะมีรสมัน
- หนองแซง ผลดิบ มีรสชาติ มัน ตั้งแต่ลูกยังเล็ก หวานกรอบ ผลแก่ มีรสชาติ มัน หวานกรอบ ผลสุก มีรสชาติ หวาน
- แก้ว ผลดิบมีรสเปรี้ยวไม่มาก เนื้อหนา และมีความกรอบ ส่วนผลสุกมีสีเหลืองทอง หรือ
เหลืองอมแดง เนื้อนุ่มเหนียว ไม่เละง่าย และมีความหอมหวาน
- แห้ว สายพันธุ์เบา แตกใบรูปเหมือนคันร่มหรือทรงฉัตร ลูกเล็กรสจืด
- มันค่อม ผลดิบสีเขียว ห่ามสีเขียวอมเหลือง รสชาติมันกรอบปนหวาน
- สายฝน รสมันไม่เปรี้ยวแม้ผลยังเล็ก ลักษณะผลคล้ายมะม่วงแก้ว มีกลิ่นหอม
- เจ้าคุณทิพย์ เป็นมะม่วงมัน รสชาติดี
- สวนทิพย์พระยาเสวย (อีหมู) เป็นมะม่วงมันตั้งแต่ยังเล็ก
- ฝรั่งตกตึก มีกลิ่นหอม เนื้อสีเหลืองทอง กรอบ อร่อย อมเปรี้ยวนิดๆ
- ฟ้าลั่น รสชาติมัน กรอบ
- มันขุนศรี ผลดิบมีรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ และกรอบ
3. มะม่วงแปรรูป ได้แก่
- แก้ว 007 ผลใหญ่ เนื้อหนาแน่น เหมาะทั้งการนำมาแปรรูป รับประทานดิบ และสุก
- พิมเสนสามปี รสชาติจะเปรี้่ยวหวาน เนื้อมะม่วงสีเหลือง มีเสี้ยน
- แก้วแดง เนื้อผลหนา ผลดิบมีเปลือกสีเขียวเข้ม และมีจุดประสีขาว เมื่อห่ามมีสีเขียวอม
เหลือง ส่วนผลสุกเปลือกจะมีสีเหลือง เนื้อด้านในมีมีสีแดงหรือแดงเข้ม
- แก้วเขียว เนื้อผลหนา ผลดิบมีเปลือกสีเขียวอ่อน คล้ายกับสีของมะม่วงอกร่อง ส่วนเนื้อผล
ด้านในมีสีขาว กรอบ มัน เมื่อสุก เปลือกผลมีสีเหลืองอ่อนหรือสีครีม
4. มะม่วงประกอบอาหาร ได้แก่ พันธุ์เบาปักษ์ใต้ มะม่วงกินสุกที่มีรสเปรี้ยว มะม่วงประกอบอาหารในที่นี้ ได้แก่ มะม่วงที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการยำ
5. มะม่วงพันธุ์ต่างๆ ได้แก่
- อาร์ทูอีทู ออกผลตามฤดูกาล ติดผลดกมาก รูปทรงผลกลม คล้ายผลแอปเปิ้ล ผลดิบ เป็นสีเขียวอ่อน เมื่อผลสุกสีของผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมชมพูเป็นสีเหลืองอมแดงสวยงามสะดุดตา เมื่อสุกมีกลิ่นหอม รสชาติรสหวานอ่อน เนื้อละเอียดเนียน สีเหลืองส้มไม่มีเสี้ยน มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
- มหาชนก มะม่วงมหาชนกมีลักษณะสีผิวสวย เมื่อดิบสีผิวเขียวเรียบเนียน ส่วนรสชาติ
จะเปรี้ยวจัด เมื่อผลแก่จะมีสีเขียวอมแดง และเมื่อสุกจัดจะมีสีเหลืองทองอมส้มหรือสีแดงแก้มแหม่ม เนื้อแน่น แต่เมื่อแก่จัดและสุกจะมีรสชาติหวาน และมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
- งามเมืองย่า ผลดิบ เนื้อหนา ละเอียด กรอบ ไม่มีเสี้ยน รสชาติมันหวานปนเปรี้ยว เนื้อสุกแน่น กลิ่นหอม ไม่หวานจัด
- ทอมมี่แอทกินส์ ผิวสีชมพู เนื้อหนาหยาบ มีกากใยมาก ผลดิบมีรสเปรี้ยวนิดๆ ผลสุกรสหวาน ผลกลมแต่เล็กกว่า อาร์ทูอีทู แต่มีกลิ่นยางแรง คล้ายกลิ่นขี้ใต้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา
- ฮารูมานิส ผลใหญ่ มีรสหวาน นิยมรับประทานสด หรือคั้นน้ำเป็นเครื่องดื่ม มีสีเหลืองอ่อนปน
เขียว มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย
- เคียตท์ ผิวสีเขียวเรื่อแดง รสหวานอมเปรี้ยว มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกาฯลฯ
กลุ่มมะม่วงนอกฤดู
1. มะม่วงนอกฤดูรับประทานสุก (สายพันธุ์ธรรมชาติ) ได้แก่
- ศรีสยาม รสหวาน เนื้อสีเหลืองสด
- สามฤดู ผลสุกรสหวานใกล้เคียงกับเนื้อสุกของมะม่วงอกร่อง เนื้อเป็นสีเหลือง แน่นเหนียวไม่เละ มีเสี้ยนบ้างเล็กน้อย มีรสชาติดีทั้งขณะผลยังดิบและผลสุก โดยผลดิบรสชาติจะเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ กรอบอร่อยมาก
- เขียวเสวย ผลสุก ผิวของเปลือกจะเป็นสีเขียวปนเหลืองสีของเนื้อเป็นสีเหลือง ลักษณะเนื้อละเอียด มีเสี้ยนน้อย และมีรสหวาน
- โชคอนันต์ เนื้อหนา แน่น ผลสุกจะหวาน
- น้ำดอกไม้สีทอง กลิ่นหอม รสหวานอร่อย เสี้ยนน้อย เมล็ดบาง
- อกร่องพิกุล (นวลจันทร์) เนื้อแน่น กลิ่นหอมไม่มีเสี้ยน รสหวานอร่อย ผลแก่จัดและผลสุกผิวเปลือกสีเหลืองอมส้ม
- น้ำดอกไม้เบอร์ 4 ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน มีรูปทรงของผลสวยงาม ผลมีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป รสชาติผลสุกหวานหอมอร่อยมาก เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้มหอมชื่นใจมาก รสชาติผลดิบเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ
- น้ำดอกไม้ลำผักชี
- น้ำดอกไม้นายตำรวจ
- น้ำดอกไม้หมอไมตรี
- น้ำดอกไม้สีม่วง
- เทพนิมิต
2. มะม่วงนอกฤดูรับประทานดิบ (สายพันธุ์ธรรมชาติ) ได้แก่
- มันบ่อปลา (มันเมืองสิงห์) รสชาติมัน
- ไอยเรศ
- มันทวาย ผลแก่รสชาติมัน ผลสุกรสชาติหวาน
- กำแพงแสน
- ศาลายา (ทูลถวาย) รสชาติมัน หวานอมเปรี้ยว กรอบ ฉ่ำน้ำ
- พิมเสนมันทวาย ผลโตปานกลาง ผลดิบสีเขียวอมเหลือง รสมัน หวานอมเปรี้ยว เนื้อผลสุกสีเหลืองเข้ม รสหวานอร่อย
- เหลืองประเสริฐ
- เขียวเสวยสายพันธุ์รจนา รสชาติมันอร่อยกว่าเขียวเสวยธรรมดา แต่ลูกเล็กกว่าหัวมนปลายแหลม ผิวมัน
- มันเดือนเก้า รสชาติมันอมเปรี้ยว ผลแก่มักนำมาแช่อิ่ม
- เพชรบ้านลาด รสชาติมันอร่อย มีกลิ่นหอมยาง
- มันทูลเกล้า รสชาติมัน กรอบ
การปลูกมะม่วงที่ดี
18.2.58
17.2.58
16.2.58
การนำมะม่วงมาใช้ประโยชน์
ผลมะม่วงนำมารับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงดิบเปลือกสีเขียวเนื้อสีขาวส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว ยกเว้นบางพันธุ์ที่เรียกว่ามะม่วงมัน ส่วนผลสุกจะมีสีเหลืองทั้งเปลือกและเนื้อ รับประทานสด หรือ นำไปทำเป็นอาหารเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง อีกทั้งมีการนำไปแปรรูป เช่น มะม่วงกวน เป็นต้น
นิยมรับประทานผล
นิยมทานตอนแก่จัด จะมีรสหวานและมัน ได้แก่ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงแรด มะม่วงพิมเสนมัน มะม่วงทองดำ มะม่วงเขียวไข่กา มะม่วงพญาเสวย มะม่วงหงสาวดี และ มะม่วงลิ้นงูเห่า
นิยมทานเมื่อยังอ่อน ได้แก่มะม่วงมัน เช่น มะม่วงสายฝน มะม่วงสวนทิพย์ มะม่วงฟ้าลั่น มะม่วงหนองแซง และ มะม่วงแห้ว มะม่วงเหล่านี้เมื่อสุกแล้วจะหวานชืด ไม่อร่อย
นิยมรับประทานสุก เในขณะที่ยังดิบอยู่จะมีรสชาติเปรี้ยว เมื่อผลสุกจะมีรสชาติหวาน ได้แก่ มะม่วงอกร่อง มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงหนังกลางวัน มะม่วงพิมเสนพราหมณ์ มะม่วงตลับนาก มะม่วงแสงทอง มะม่วงนวลจันทร์ และ มะม่วงลิ้นงูเห่า
นิยมนำมาแปรรูป แก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกจะ หวานอมเปรี้ยว หรือ หวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงกวน และอื่นๆ ได้แก่ มะม่วงแก้ว และ พิมเสนเปรี้ยว
- ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวหรือรสจืดชืด ใช้นำมาทำ มะม่วงตากแห้ง และ มะม่วงดอง
- ผลสุกสามารถใช้เนื้อทำมะม่วงกวน และ มะม่วงแผ่น
- สำหรับมะม่วงสามปีของภาคเหนือจะนิยมใช้ผลสุกทำแยม และครั้นน้ำบรรจุกระป๋อง
- กำลังมีการวิจัวเรื่องการ สกัด น้ำมันจากมะม่วงแก้ว มาทำชอกโกแลต
* มะม่วงที่สามารถนำมาใช้แปรรูปกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ มะม่วงแก้ว มะม่วงพิมเสน
นิยมรับประทานยอดอ่อนใช้ ยอดอ่อน ผลอ่อน มาประกอบอาหารแทนผัก กับอาหารเช่น ลาบ เป็นต้น
ทางการแพทย์ใช้ เป็นยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน
ใช้แปรรูปเป็น ผลิตภัณท์บำรุงผิว
ตลาดมะม่วงในไทย และต่างประเทศ
- The Mall Group ลูกละ 250 บาท เพราะ นำเสนอในด้านของความปลอดภัย ในเรื่องกระบวนการผลิตที่เป็นอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี และ มีรสชาติที่อร่อย เพราะเนื้อเยอะ
- แปลรูปผลิตภัณฑ์ เป็นเครื่องสำอาง เช่น สบู่, ครีมบำรุงผิว, ครีมนวดหน้า, ครีมหน้าเด้ง และ เจลล้างหน้า และ eye เจล
- ส่งมะม่วงให้บริษัท Misako ของญี่ปุ่น ในราคา 90/กิโลกรัม 1 ลูกได้ 100 กว่าบาทเพราะ หนึ่งลูกประมาณ 2 กิโลกรัม ซึ่งบริษัท Misako ก็นำมาขายในห้างในเมืองไทย ซึ่งหากส่งให้ห้างเอง ไม่ได้รับเงินสด และ กดเกณฑ์มากเกินไป โดยไม่สนใจกฏเกณฑ์ของเกษตรกร
การแปลรูปมะม่วง เป็นเครื่องสำอางค์
สินค้าและบริการ
แปรรูปมะม่วง ให้เป็นเครื่องสำอางในรูปแบบต่าง อาทิ
- เจลล้างหน้า - Cleasing Gel
- ครีมนวดหน้า - Facial Cream
- ซีรั่ม - Eye Serum
- ครีมขัดหน้า - Facial Scrubb Cream
- ครีมหน้าเด้ง - Advance repair cream
เก็บตกความรู้เกี่ยวกับมะม่วง
- มะม่วงพันธุ์บางขุนศรี เป็นมะม่วงกินดิบ เพราะมีรสมันกรอบ แต่เป็นมะม่วงอาพับ เพราะคนส่วนใหญ่กินไม่ถูกช่วง ต้องกินช่วงที่แก่เข้าไข่ เนื้อสีเหลือง ถ้าอ่อนจะมีรสเปรียวมาก
- มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 เป็นมะม่วงสายพันธุ์ดี ไม่มีขายตามท้องตลาด เพราะโดยส่วนใหญ่ จะกลายพันธุ์ ทำให้ได้คุณภาพผล ไม่เหมือนพันธุ์นี้ และนิยมกินสุก เพราะมีรสหวานหอม
- กลุ่มสมุนไพรที่ใช้ ป้องกัน แมลง และโรคต่างๆ แบ่งออกเป็น แบบสด และ แห้ง แบบแห้งก็บดเป็นผง แล้วแช่น้ำ แบบ สดก็ทุบแช่น้ำ 24 ชั่วโมง
- มะม่วงสายพันธุ์อื่น ไม่เหมาะ จะมาทำเครื่องสำอาง เพราะมีน้ำน้อย และ ไม่มีเจลที่เพียงพอเมื่อแยก เนื้อกับน้ำออกมาแล้ว
- การ Wax มะม่วงให้สีน่ารับประทาน แต่อยู่ในช่วงของการทดลอง ซึ่งจะให้ Wax ที่เกิดจากธรรมชาติ เช่นการ Wax มะม่วงจากน้ำมันปาร์ม เป็นต้น ซึ่งการใช้ Wax ด้วยสารเคมีนั้น อาจจะซึ่มเข้าถึงผลไม้ชนิดนั้นๆ ได้
- มะม่วงพันธุ์ทองนพคุณ เป็นมะม่วงพันธ์ใหม่ที่ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเพาะ พันธุ์ รูปร่างอาจดูไม่ สวยงาม แต่เป็นมะม่วงที่มีกลิ่นหอมมาก ทำให้เหมาะแก่การนำมารับประทานตอน สุก และ แปรรูปในลักษณะต่างๆ
- มะม่วงพันธุ์มงกฏเพชร เป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์ หนึ่งที่ คุณ กิจติกร กีรติเลขา เพาะพันธุ์ ขึ้นมา มีลักษณะเด่น คือ มีรสมัน ตั้งแต่ยังลูกเล็กๆ
เทคนิคพิเศษ ในการปลูกมะม่วง
- ความตั้งใจ ที่ยากจะทำเพื่อแผ่นดินนี้ มีมะม่วงพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
- ความรัก ปลูกต้นไม้ด้วยใจรัก
- มะม่วงมียาง ใช้วิธี คว่ำเอาขั้วลง 40 นาที ก็สามารถนำเอา ผลไปแปรรูปต่างๆ ได้
- สามารถยืดระยะเวลาหลังเก็บเกี่ยวได้อีก 4 เดือน โดยใช้ขมิ้น
- พ่นด้วยน้ำนมสด ฉีด พ่นด้วยสมุนไพร เหมือนพุทรานม (นมสด 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร) ฉีดพ่นตอนเริ่มติดลูก
- เทคนิคการฝากท้อง คือการนำยอดอ่อนที่ได้ ไปเลี้ยงไว้กับต้นอื่น โดยให้ยอดอ่อน อยู่ด้านล่างทำ ให้ลำต้นหลักต้องเลี้ยงยอดอ่อนที่อยู่ด้านล่างก่อน
แนวความคิด ในการปลูกมะม่วง
- การปลูกพืชผลทางการเกษตร โดยปลูกตามกันมาโดยไม่มีตลาดรองรับที่เพียงพอ
- เพิ่มมูลค่าจากเดิมที่มะม่วงลูกละ 5 บาท ก็มาคิดว่าทำยังไงให้เป็น 100 บาท
- การปลูกพืช โดยยึดหลักการปลูกพืชแบบอินทรีย์ คือ การใช้ปุ๋ยธรรมชาติ
- การเพาะพันธุ์ใหม่ โดยใช้เพศ โดยการเพาะเมล็ด ทำให้ได้สายพันธุ์ใหม่
- ปลูกมะม่วงพันธุ์ มันบางขุนศรี กับ น้ำดอกไม้เบอร์ 4 สลับกัน โดยปลูกห่างกันวาเดียว (2x2 เมตร) กว่า 2,000 เมล็ด แล้วให้ผสมพันธุ์ กันเองโดยธรรมชาติ แล้วเก็บเมล็ดมาเพาะ ทำให้ได้มะม่วงพันธุ์ใหม่
- มองหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางทางด้านการขาย
- ทำสวนมะม่วงให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ให้กับ เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา
มารู้จักมะม่วงกันเถอะ
* มะม่วงเป็นผลไม้เศรษฐกิจ ปลูกเป็นพืชสวน ประเทศไทยส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 รองจากฟิลิปปินส์ และแม็กซิโก
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดของมะม่วงนั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่า ส่วนใหญ่แพร่พันธุ์มาจากเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการที่ภูมิภาคนั้นมีความหลากหลายทางพันธุกรรม และ ร่องรอยฟอสซิลที่หลากหลาย ถึง 25 - 30 ล้านปีก่อน มะม่วงมีความแตกต่างประมาณ 49 สายพันธุ์ ซึ่งกระจายอยู่ตามประเทศในเขตร้อน ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงฟิลิปปินส์
ในประเทศไทยมีการปลูกมะม่วงมาช้า นาน ซึ่ง มะม่วงในประเทศไทยจัดเป็นผลไม้ที่ นิยมปลูกกันแพร่หลายจนเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย มะม่วงตามทำเนียบต้นไม้ของกรมป่าไม้ จัดได้ว่าเป็นต้นไม้จากต่างประเทศ แต่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า เป็นไม้ดั้งเดิมของไทยซึ่งความจริงแล้วมะม่วงมี ถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย และ พม่า ซึ่งได้เข้ามาเป็น ที่นิยมในประเทศไทย เมื่อหลายร้อยปีก่อนจึงทำให้กลายเป็นไม้พื้นเมืองไป ส่วน ในประเทศอินเดียที่เป็นถิ่นกำเนิดถือว่ามะม่วง เป็นผลไม้โบราณที่สุดของอินเดีย หรือ เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ประจำชาติอินเดียเลยก็ว่าได้
การนำมะม่วงมาใช้ประโยชน์
ผลมะม่วงนำมารับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงดิบเปลือกสีเขียวเนื้อสีขาวส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว ยกเว้นบางพันธุ์ที่เรียกว่ามะม่วงมัน ส่วนผลสุกจะมีสีเหลืองทั้งเปลือกและเนื้อ รับประทานสด หรือ นำไปทำเป็นอาหารเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง อีกทั้งมีการนำไปแปรรูป เช่น มะม่วงกวน เป็นต้น
นิยมรับประทานผล
นิยมทานตอนแก่จัด จะมีรสหวานและมัน ได้แก่ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงแรด มะม่วงพิมเสนมัน มะม่วงทองดำ มะม่วงเขียวไข่กา มะม่วงพญาเสวย มะม่วงหงสาวดี และ มะม่วงลิ้นงูเห่า
นิยมทานเมื่อยังอ่อน ได้แก่มะม่วงมัน เช่น มะม่วงสายฝน มะม่วงสวนทิพย์ มะม่วงฟ้าลั่น มะม่วงหนองแซง และ มะม่วงแห้ว มะม่วงเหล่านี้เมื่อสุกแล้วจะหวานชืด ไม่อร่อย
นิยมรับประทานสุก เในขณะที่ยังดิบอยู่จะมีรสชาติเปรี้ยว เมื่อผลสุกจะมีรสชาติหวาน ได้แก่ มะม่วงอกร่อง มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงหนังกลางวัน มะม่วงพิมเสนพราหมณ์ มะม่วงตลับนาก มะม่วงแสงทอง มะม่วงนวลจันทร์ และ มะม่วงลิ้นงูเห่า
นิยมนำมาแปรรูป แก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกจะ หวานอมเปรี้ยว หรือ หวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงกวน และอื่นๆ ได้แก่ มะม่วงแก้ว และ พิมเสนเปรี้ยว
- ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวหรือรสจืดชืด ใช้นำมาทำ มะม่วงตากแห้ง และ มะม่วงดอง
- ผลสุกสามารถใช้เนื้อทำมะม่วงกวน และ มะม่วงแผ่น
- สำหรับมะม่วงสามปีของภาคเหนือจะนิยมใช้ผลสุกทำแยม และครั้นน้ำบรรจุกระป๋อง
- กำลังมีการวิจัวเรื่องการ สกัด น้ำมันจากมะม่วงแก้ว มาทำชอกโกแลต
* มะม่วงที่สามารถนำมาใช้แปรรูปกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ มะม่วงแก้ว มะม่วงพิมเสน
นิยมรับประทานยอดอ่อนใช้ ยอดอ่อน ผลอ่อน มาประกอบอาหารแทนผัก กับอาหารเช่น ลาบ เป็นต้น
ทางการแพทย์ใช้ เป็นยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน
สุดยอดมะม่วงไทย
ลูกผสมระหว่างพันธุ์ มันบางขุนศรี กับ น้ำดอกไม้เบอร์ 4
การตลาด
เนื่องจากเป็นมะม่วงที่รับประทานได้ทั้ง 2 รูปแบบทั้งสุกและดิบอีกทั้งเป็นมะม่วงที่ผลิตในระบบอินทรีย์มะม่วงงามเมืองย่า เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น กลุ่มยุโรปและอเมริกา เป็นต้น
การปลูก และดูแลรักษา
มะม่วงงามเมืองย่า เป็นมะม่วงที่ปลูกในระบบชิดได้ดีมาก ระบบการปลูก 2x2 เมตร 1 ไร่ ปลูกได้ถึง 400 ต้น ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป จะให้ผลผลิตประมาณ 8 ตันต่อไร การดูแลรักษาง่าย ใช้สมุนไพร ข่า ดีปลี ขมิ้นชัน บอระเพ็ด ป้องกันโรคและแมลง ใช้นมสดหรือนทข้นหวาน ผสมน้ำฉีด พ่นบำรุงต้นและผล ใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก บำรุงต้น
การติดผล
ให้ผลดกมาก เมื่อต้นสมบูรณ์ เต็มที่ ไร่ละประมาณ 8 ตัน/ปี
การแปรรูป
ปัจจุบัน มะม่วงงามเมืองย่าได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งกระทรวงพานิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมวิชาการกระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ มหาวิทยาลัยต่างๆ SME แบงค์ ได้ทดลองแปรรูปมะม่วงอินทร์งามเมืองย่า เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเสริมความงาม รวมทั้งแปรรูปเป็นน้ำมะม่วงพร้อมดื่ม ผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด ซึ่งจะได้พัฒนาผลิตหรือจำหน่ายในประเทศ และต่างประเทศต่อไป
ผลการศึกษา
เป็นดินร่วนทรายที่ราบเชิงเขา การชะล้างหน้าดินสูง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ อาศัยน้ำฝนใช้ปุ๋ยอินทรีย์และสารสกัดจากธรรมชาติ
ลักษณะลำต้นและใบ
ลำต้นปกติเหมือนมะม่วงทั่วไป แต่ใบยาว เขียวเข้ม พื้นที่การปรุงอาหารมาก ขั้วผลเหนียวป้องกันลมได้ดี
การให้ผลผลิต
ให้ผลผลิตแบบทะวาย ช่วงการติดผลมะม่วง ระหว่างเดือน มกราคม - สิงหาคม
ลักษณะการติดดอก
ช่อ ดอกยาว ก้านใหญ่สีแดงเข้ม การตกแต่งแขนงของช่อดอกดี ดอกมีความสมบูรณ์สมดุลย์ กันระหว่างเกสรเพศผู้ และเพศเมีย ทำให้การผสมเกสรดีเปอร์เซ็นการติดสูง
ลักษณะของเนื้อ
เนื้อหนา ละเอียด ไม่มีแป้ง ไม่เป็นเสี้ยน รสชาติ ดิบเปรี้ยว เข้าไคลมันหวานกรอบ สุกรสหวาน มีกลิ่นหอม ทานได้ทั้งดิบและสุก
ลักษณะผล
ผลใหญ่ น้ำหนัก 1-2 กิโลกรัมต่อผล
ลักษณะเมล็ด
เล็ก ลีบ บาง
ลักษณะผิวเปลือก
เปลือกหนา ผิวมีสีเขียวนวลเนียน สวยงาม สามารถปรับสีผิวได้โดยใช้วัสดุห่อผลขณะลูกเท่ากำมือ โดยใช้
- ถุงดำ ผลเป็นสีเหลืองทอง
- ถุงสีฟ้า ผลเป็นสีแดง - ส้ม (แอ๊ปเปิ้ล)
- ถุงสีขาว ผลเป็นสีเขียว
การปลูกและการดูแลรักษา
เหมือนมะม่วงทั่วไป ถ้าดินสมบูรณ์ และระบบน้ำดีจะทำให้ผลผลิตต่อต้นและต่อไรสูงมากขึ้น
การตลาด
เนื่องจากเป็นมะม่วงทานได้ทั้ง 2 รูปแบบ ทั้งสุกและดิบ และผลใหญ่ จึงเหมาะกับตลาดระดับสูง
พันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก
มะม่วงน้ำดอกไม้ : เป็นพันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก กันทั่วไป สามารถออกดอกแต่ติดผลปานกลาง และ ให้ผลทุกปีผลมีขนาดปลานกลาง - ขนาดใหญ่ ลักษณะของผลจะอ้วน หัวใหญ่ปลายแหลม ผลค่อนข้างยาว ลักษณะเปลือกบาง มีต่อมกระจายห่าง ๆ ทั่วผล
ผลดิบ : ผิวเปลือกจะเป็นผิวนวล เนื้อแน่นหนาเป็นสีขาว มีรสเปรี้ยวจัด
ผลสุก : ผิวของเปลือกจะเป็นสีเหลืองนวลเนื้อเป็นสีเหลืองมีรสหวาน
เมล็ด : แบนยาว เมื่อเพาะต้นอ่อนจะขึ้นได้จากเมล็ดเดียว
----------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงแรด : เป็นมะม่วงพันธ์เบา เจริญเติบโตเร็ว มีลักษณะเป็นพุ่มค่อนข้างทึบใบมีขนาดปลานกลาง ผลตรงกลางมีลักษณะกลม หัวอ้วนใหญ่มีปลายแหลมเล็กน้อย ผิวเป็นคลื่นไม่เรียบ มีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดที่เรียกว่า มีนอ ตรงส่วนบนด้านหลัง แต่บางผลและบางต้นจะไม่มีอัตราส่วนโดยเฉลี่ยของความยาว : ความกว้าง : ความหนา เท่ากับ 1.9 : 1 : 1 ลักษณะ เปลือกและผิวค่อนข้างหนาและเหนียว ต่อมมีขนาดใหญ่ไม่ค่อยชัดกระจายอยู่ทั่วผล
ผลดิบ : จะมีรสเปรี้ยวจัด เมื่อแก่จัดจะมีรสหวานอมเปรี้ยว
ผลสุก : ผิวเป็นสีเหลือง เนื้อเหลือง มีเสี้ยนค่อนข้างมาก
เมล็ด : รูปร่างค่อนข้างสั้น จะมีเสี้ยนติดเมล็ดค่อนข้างมาก น้ำหนักของเนื้อต่อเมล็ดเฉลี่ย 6.4 : 1 เมล็ดเดียวเพาะได้หลายต้น
----------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงเขียวเสวย : เป็น พุ่มหนาทึบ ใบเป็นสีเขียวเข้ม ผลใช้รับประทานดิบ หรือ สุกก็ได้ลักษณะ เปลือกหนาและเหนียว มีต่อมไม่ค่อยชัด และ กระจายอยู่ทั่วผล
ผลดิบ : ผิวเปลือกจะมีสีเขียวเข้ม และ จะออกสีนวลเมื่อแก่ เนื้อเป็นสีขาวจะมีความละเอียด กรอบ มีเสี้ยนค่อนข้างน้อย รสเปรี้ยว เมื่ออ่อน เมื่อแก่จัดจะมีรสมัน
ผลสุก : ผิวของเปลือกจะเป็นสีเขียวปนเหลืองสีของเนื้อเป็นสีเหลือง ลักษณะเนื้อจะเอียด มีเสี้ยนน้อย และมีรสหวาน
เมล็ด : สามารถเพาะต้นอ่อนขึ้นได้หลายต้นจากเมล็ดเดียว เมล็ดค่อนข้างแบนยาว เนื้อเมล็ดค่อนข้างเต็ม และมีเสี้ยนติดกับเมล็ดน้อย
----------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงฟ้าลั่น : เป็นทรงพุ่มค่อนข้างทึบ ใบยาวคล้ายใบมะม่วงพันธ์สายฝน ออกผลค่อนข้างดก ลักษณะผลจะกลมมากกว่ามะม่วงพันธ์สายฝน แต่มีความยาวพอ ๆ กัน ปลายผลกลมมนเมื่อผลแก่จัดเนื้อจะเปาะบางมาก และอาจจะแตกทันทีเมื่อถูกคมมีดซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธ์เห็นได้ชัด ลักษณะ เปลือกจะหนา แต่ไม่เหนียว มีต่อมขนาดปลานกลางเห็นได้ชัด และกระจายอยู่ทั่วผล ผิวเปลือกเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อขาวนวล ลักษณะผิวหยาบ กรอบ มีเสี้ยนค่อนข้างน้อย
ผลดิบ : รสชาติมันตั้งแต่ผลเล็ก ๆ เมื่อแก่จัดรสชาติจะหวานมัน
ผลสุก : ผิวเขียวปนเหลือง เนื้อเป็นสีเหลืองเนื้อค่อนข้างละเอียด มีเสี้ยนน้อยรสหวานไม่จัดนัก
เมล็ด : เมื่อเพาะจะมีต้นอ่อนขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว รุปร่างของเมล็ดยาว แบนมีเนื้อในเมล็ดไม่เต็ม
----------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงแก้ว : เป็นมะม่วงที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มีลักษณะต้นเตี้ย ทรงพุ่มกว้างกิ่งก้านแข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลงสามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ ลักษณะ เปลือกจะหนา ผิวเป็นสีเขียวเข้มนวล
ผลดิบ : เนื้อหวานหอม แน่น และกรอบมียางน้อย และจะมันเมื่อแก่จัด
ผลสุก : จะมีรสชาติหวาน
----------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงหนองแซง : มะม่วงพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี จะออกดอกและติดผลดี ลักษณะต้นเป็นทรงค่อนข้างทึบใบใหญ่ และสั้น ขอบของใบจะเป็นคลื่นเล็กน้อย จะมีลักษณะการแตกใบผิดกับมะม่วงพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้น ๆ คล้ายฉัตรมะม่วงพันธุ์นี้ไม่ทนทานต่อการถูกน้ำท่วมขังถ้าหากท่วม 3-4 วันต้นจะเฉาทันที ลักษณะ เปลือกและผิวค่อนข้างหนา จะมีต่อมขนาดปลานกลางกระจายทั่วผล
ผลดิบ : ผิวของเปลือกจะมีสีเขียวนวลสีของเนื้อค่อนข้างขาว ลักษณะสีของเนื้อจะละเอียดมีเสี้ยนเล็กน้อย รสชาติจะมันจัดตั้งแต่ยังเป็นผลเล็ก ๆ เมื่อแก่จัดจะมีรสมัน และกรอบ
ผลสุก : ผิวของเปลือกจะมีสีเหลือง สีของเนื้อจะเป็นสีเหลือง ลักษณะเนื้อจะละเอียดมีรสชาติหวานชืด
เมล็ด : เมล็ดมีลักษณะแบนยาว เนื้อในเมล็ดมีน้อย และเมื่อเพาะต้นอ่อน จะสามารถขึ้นได้หลายต้นจากเมล็ดเดียว
มะม่วงมันขุนศรี
การขยายพันธุ์
1. การเพาะเมล็ด
โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็น ต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้ จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี
1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก
เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้
การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน
หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก
2. การทาบกิ่ง
เป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะการเพาะเมล็ดจะทำให้มีการกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับมะม่วง การทาบกิ่งต้นที่ได้จะตรงตามพันธุ์เดิม และยังมีรากแก้วที่แข็งแรงเช่นเดียวกับการปลูกด้วยเมล็ด ต้นที่ได้ก็ตกผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด วิธีทาบกิ่งต้องเตรียมต้นตอเพื่อนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีที่ต้องการ
2.1 การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่จะนำมาทาบกิ่งก็คือ ต้นกล้ามะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดดังที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่ง ต่างกับผลไม้ชนิดอื่น คือ การที่จะทำให้เมล็ดมะม่วงงอกเร็วขึ้นต้องแกะเอาเปลือกซึ่งหุ้มเมล็ดออก แล้วจึงเอาเมล็ดที่อยู่ภายในมาเพาะ อายุของต้นกล้าที่จะใช้เป็นต้นตอควรมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป หรือลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (สำหรับต้นกล้าที่งามๆ อายุเพียง 3 สัปดาห์ก็โตพอที่จะใช้เป็นต้นตอได้) และใบชุดแรกเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่แล้ว เมื่อต้องการจะทาบกิ่ง ก็ขุดแยกต้นตอออกจากกระบะเพาะ นำไปชำในถุงพลาสติกที่มีขนาดปากถุงกว้าง 4-5 นิ้ว ใส่ขุยมะพร้าวที่แช่น้ำเตรียมไว้ลงไปให้เต็มถุง ผูกปากถุงอย่าให้แน่นมาก ก็พร้อมที่จะนำไปทาบกิ่งได้
2.2 การเลือกกิ่งพันธุ์ กิ่งของต้นพันธุ์ดีที่ต้องการจะทาบนั้น ให้เลือกกิ่งที่มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดของต้นตอ จะใหญ่กว่าสักเล็กน้อยก็ได้ แต่อย่าให้ไหญ่กว่ามากนัก (ถ้าใหญ่กว่ามากให้ใช้ต้นตอหลายต้น) กิ่งพันธุ์ควรเป็นกิ่งที่กำลังเจริญเติบโต ไม่แคระแกรน กิ่งมีลักษณะกลม ไม่เป็นเหลี่ยม กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่กว่าต้นตอมากนัก และไม่มีโรคแมลงรบกวน ถ้าได้กิ่งที่ตั้งตรงจะดีมาก เพราะสะดวกในการทำงาน ส่วนกิ่งที่เอนก็ใช้ได้ แต่กิ่งที่ห้อยย้อยลงล่างไม่ควรใช้ทาบกิ่ง ถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้ผูกกิ่งให้ตั้งตรงเสียก่อน
2.3 ฤดูกาล ฤดูที่เหมาะที่สุดคือฤดูฝน เพราะต้นไม้กำลังเจริญเติบโต จะทำให้กิ่งติดกันได้ดีและเร็วกว่า แต่ถ้าทั้งต้นตอและยอดพันธุ์มีความสมบูรณ์จะทาบกิ่งตอนไหนก็ได้
2.4 วิธีการทาบกิ่ง ใช้มีดที่สะอาดและคมเฉือนต้นตอออกประมาณ 1 ใน 3 ของต้นตอ โดยเฉือนขึ้นไปหายอดของลำต้น เฉือนให้ห่างจากปากถุงพลาสติกราว 2-3 นิ้ว ยอดของต้นตอจะถูกตัดขาดออกไป แล้วใช้มีดบากให้เป็นปากฉลาม ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว
ใช้มีดคมๆ เฉือนที่กิ่งพันธุ์ ลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยเฉือนยาวประมาณ 2 นิ้ว ไห้มีขนาดและลักษณะเช่นเดียวกับรอยเฉือนของต้นตอ นำรอยเฉือนทั้งสองมาประกบกันให้แนบสนิท โดยให้ปากฉลามสอดเข้าไปในรอยเฉือนพอดีกับกิ่งพันธุ์ดี ให้เปลือกของทั้งสองสัมผัสกันให้มากที่สุด แล้วใช้ผ้าพลาสติกขนาดกว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 12 นิ้ว พันและรัดรอยต่อทั้งสองให้แนบสนิท เพี่อกันน้ำซึมเข้าไปในรอยทาบ โดยพันจากล่างขื้นบน เสร็จแล้วใช้เชือกผูกถุงที่หุ้มโคนต้นตอให้ติดกับกิ่งพันธุ์ เพื่อไม่ให้ต้นตอแก่วง เมื่อทาบกิ่งครบ 30 วัน ให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดี ลึกประมาณครึ่งกิ่ง ในระหว่างนี้ให้คอยดูความชื้นในถุงด้วย ถ้าเห็นว่าขุยมะพร้าวในถุงแห้งเกินไปให้รดน้ำ หลังจากนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 45-60 วัน รอยทาบของกิ่งจะประสานกันสนิท ก็ตัดกิ่งพันธุ์ดีตรงใต้รอยทาบประมาณ 1 นิ้ว เพื่อนำไปชำ แล้วปลูกต่อไป
2.5 การชำต้นทาบกิ่ง เมื่อตัดต้นทาบกิ่งออกมาแล้ว ให้แกะเอาถุงพลาสติกที่หุ้มโคนอยู่ออก เอาไปชำในน้ำสักพักหนื่งก่อน แล้วจึงนำไปชำในดิน ต้นที่เห็นว่าขุยมะพร้าวแห้งมาก อาจชำไว้ในน้ำก่อนสัก 1-3 วัน จึงนำไปชำในดิน การชำน้ำทำได้ดังนี้ คือ นำต้นทาบกิ่งวางในกระป๋องหรือกาละมัง เติมน้ำลงไป สูงประมาณ 1 ใน 3 ของกระเปาะที่หุ้มรากอยู่ อย่าใส่น้ำจนท่วมกระเปาะ
เมื่อชำน้ำเสร็จแล้วจึงนำไปชำในดิน ภาชนะที่สามารถใช้ชำได้แก่ กระถาง หรือถุงพลาสติก เป็นต้น โดยแกะขุยมะพร้าวออกบ้าง แล้วใส่ดินลงไป กดดินรอบๆ โคนต้นให้แน่นพอประมาณ แล้วปล่อยให้ต้นทาบกิ่งนี้เจริญต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน ต้นก็จะตั้งตัวแข็งแรง นำไปปลูกหรือจำหน่ายได้
การปลูก
1. การเตรียมดิน
1.1 ในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง เช่น ที่ราบริมฝั่งแม่น้ำต่างๆ ต้องยกร่องเสียก่อน เช่นเดียวกับการปลูกไม้ผลอย่างอื่น เพื่อไม่ให้น้ำท่วมถึงโคนต้นได้ ขนาดของร่องกว้างอย่างน้อย 6 เมตร ร่องน้ำกว้างอย่างน้อย 1.5 เมตร ส่วนความยาวของร่องนั้นแล้วแต่ขนาดของพื้นที่ หลังร่องยิ่งยกได้สูงมากยิ่งดี รากจะได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่
เมื่อขุดยกร่องเสร็จแล้ว ให้ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย โดยการขุดตากดิน ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก หรือถ้าดินเหนียวมากให้โรยปูนขาวเสียก่อนจึงลงมือขุด ปูนขาวจะช่วยแก้ความเป็นกรดของดิน และทำให้ดินไม่จับตัวกันแน่น เนื่องจากมะม่วงไม่ชอบดินที่จับตัวกันแน่น การปรับปรุงดินให้ร่วนชุยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของการปลูกแบบยกร่อง เพราะดินตามที่ราบลุ่มมักจะเป็นดินเหนียวจัด การขุดยกร่องใหม่ในปีแรก ดินอาจยังไม่ร่วนซุยดีพอ ให้ปลูกพืชผักอย่างอึ่นสัก 1-2 ปี จนเห็นว่าดินร่วนซุยดีพอแล้ว จึงลงมือปลูกมะม่วง ซึ่งจะได้ผลดีและไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนในที่ที่เป็นร่องสวนเก่า มีคันคูและเคยปลูกพืชอย่างอื่นจนดินรวนซุยอยู่แล้ว อาจต้องปรับปรุงดินอีกเพียงเล็กน้อยก็ลงมือปลูกได้เลย
1.2 ในที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ที่ป่า หรือที่ที่เคยเป็นไร่เก่า ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วม การเตรียมที่ปลูก ถ้ามีไม้ไหญ่ขึ้นอยู่ ให้โค่นถางออกให้หมด เหลือไว้ตามริมๆ ไร่เพื่อใช้เป็นไม้กันลม แต่ถ้าบริเวณนั้นมีลมแรงอยู่เป็นประจำ ก็ไม่ควรโค่นไม้ใหญ่ออกจนหมด ให้เหลือไว้เป็นระยะๆ จะใช้กันลมได้ดี เมื่อปราบที่เรียบร้อยแล้ว ให้ปรับปรุงดิน โดยไถพรวนพลิกดินสัก 1-2 ครั้ง หรือจะกำจัดวัชพืช แล้วลงมือขุดหลุมปลูกเลยก็ได้
ถ้าดินที่ปลูกนั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงดินอีก ส่วนที่เป็นทรายจัดมีอินทรีย์วัตถุน้อย ให้ปรับปรุงดินให้ดีเสียก่อนลงมือปลูก โดยการหาปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพิ่มเติมลงในดิน วัสดุที่พอหาได้ในท้องถิ่น เช่น มูลสัตว์ต่างๆ กระดูกป่น กากถั่ว เปลือกถั่ว เศษใบไม้ ใบหญ้า ที่ผุพัง ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อดินและพืชที่ปลูกทั้งสิ้น ควรหามาเพิ่มลงในดินให้มากๆ นอกจากนี้ การปรับปรุงดินอาจใช้ปุ๋ยพืชสดก็ได้ วิธีทำก็คือ ปลูกพืชพวกตระกูลถั่วต่างๆ หรือปอเทือง แล้วไถกลบลงในดินให้ผุพัง เป็นประโยชน์ต่อดิน การปรับปรุงดินด้วยวิธีต่างๆ ดังกล่าวจะช่วยให้ดินร่วนซุย การระบายน้ำ และอากาศของดินดี ทำให้ดินอุ้มน้ำดี เหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นมะม่วง
ส่วนการปลูกจำนวนเล็กน้อยตามบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย มีข้อที่ควรคำนึงอยู่ สองประการคือ ความลึกของระดับน้ำในดิน และความแน่นทึบของดิน ที่บางแห่งระดับน้ำในดินตื้น เมื่อขุดลงไปเพียงเล็กน้อย น้ำก็จะซึมเข้ามา เวลาจะปลูกมะม่วงควรยกระดับดินให้สูงขึ้น เพราะระดับน้ำจะเป็นตัวคอยบังคับการเจริญเติบโตของราก เมื่อรากเจริญไปถึงระดับน้ำแล้ว จะไม่สามารถเติบโตลึกลงไปได้อีก แต่จะแผ่ขยายออกด้านข้าง ทำให้รากของมะม่วงอยู่ตื้น ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร เป็นผลให้ต้นมะม่วงโตช้า แคระแกร็นและโคนล้มง่าย
สำหรับเรื่องความแน่นทึบของดินนั้น ตามปกติ เวลาถมที่เพื่อปลูกสร้างอาคาร บ้านเรือน ก็มักจะถมให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ดินทรุดในภายหลัง ดินที่แน่นทึบนี้ไม่เหมาะต่อการปลูกมะม่วง หรือไม้ยืนต้นต่างๆ เลย เพราะรากไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศของดินไม่ดี ทำให้ต้นมะม่วงโตช้าและแคระแกร็น การแก้ไขทำได้โดย ขุดหลุมปลูกให้กว้างๆ และลึก ตากดินที่ขุดขึ้นมาจนแห้งสนิท ย่อยให้เป็นก้อนเล็กๆ แล้วผสมกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ให้มากๆ ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ลงไปในก้นหลุมด้วย เสร็จแล้วจึงกลบดินลงหลุม รดน้ำให้ยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูก
2. การขุดหลุมปลูก
2.1 การขุดหลุมปลูก ทั้งแบบปลูกบนร่องและปลูกในที่ดอน ควรปลูกให้เป็นแถวเป็นแนว เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและการปฎิบัติงาน ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างยาว และลึก 50 เซนติเมตร - 1 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก ก็ขุดหลุมขนาดเล็กได้ ส่วนดินที่ไม่ค่อยดี ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้น ให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15 - 20 วัน แล้วผสมดินทั้งสองกองด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก้นหลุมก็ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก รองพื้นด้วย แล้วจึงกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม โดยเอาดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดินชั้นล่างกลบทับลงไปที่หลัง ดินที่กลบลงไปจะสูงกว่าปากหลุม ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ดินยุบตัวดีเสียก่อน หรือรดน้ำให้ดินยุบตัวดีเสียก่อน จึงลงมือปลูก
2.2 ระยะปลูกระยะปลูกมีหลายระยะด้วยกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการปลูก ได้แก่
1) ระยะปลูกแบบถี่ หรือการปลูกระยะชิด เช่น 2.5 X 2.5 เมตร, 4 X 4 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะได้มะม่วงประมาณ 256 ต้นต่อไร่ การปลูกระยะชิดนี้ จำเป็นจะต้องดูแลตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอด้วย
2) ระยะปลูกแบบห่าง เช่น 8 X 8 เมตร, 10 X 10 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม แนะนำให้ปลูกระยะ 8 X 8 เมตร หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 6 X 6 เมตร สำหรับมะม่วงที่ขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง
3. วิธีปลูก
การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ตาม ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ในภาชนะนานๆ ดินจะจับตัวกันแข็ง และรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะแล้วให้บิแยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว
3.1 การปลูกด้วยกิ่งทาบ กิ่งติดตา ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะปลูกเดิม หรือสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาหรือต่อกิ่งไว้ เพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้นแตกออกมาจากกิ่งพันธุ์หรือจากต้นตอ ถ้าเป็นกิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้งไป
3.2 การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะเดิม หรือให้เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยูู่่เล็กน้อย ไม่ควรกลบดินจนมิดจุกมะพร้าว เพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย
เมื่อปลูกเสร็จ ให้ปักไม้เป็นหลักผูกต้นกันลมโยก แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ต้นที่นำมาปลูกถ้าเห็นว่ายังตั้งตัวไม่ดี คือแสดงอาการเหี่ยวเฉาตอนแดดจัด ควรหาทางมะพร้าวมาปักบังแดดให้บ้าง ก็จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น ในระยะที่ต้นยังเล็กอยู่นี้ ให้หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ อย่าให้ดินแห้งได้ การปลูกในฤดูฝนจึงเหมาะที่สุด เพราะจะประหยัดเรื่องการให้น้ำได้มาก และต้นจะตั้งตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีน้ำที่จะให้แก่ต้นมะม่วงได้ทั้งปี ให้ปลูกในระยะต้นฤดูฝน ช่วงแรกๆ อาจต้องรดน้ำให้บ้าง เมื่อฝนเริ่มตกหนักแล้วก็ไม่ต้องให้น้ำอีก ต้นจะสามารถตั้งตัวได้เต็มที่ก่อนจะหมดฝน และสามารถจะผ่านฤดูแล้งได้โดยไม่ตาย ส่วนที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ จะปลูกตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก
3.3 การปลูกพืชแชม ต้นมะม่วงที่ปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งติดตา หรือต่อกิ่ง ทาบกิ่ง จะใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ปี จึงจะให้ผล ส่วนการปลูกด้วยต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด จะใช้เวลาประมาณ 4 - 6 ปีขึ้นไป ในระหว่างที่ต้นยังไม่ไห้ผลนี้ ถ้าปลูกแบบระยะต้นห่างๆ กันจะมีที่ว่างเหลืออยู่มาก ควรปลูกพืชอย่างอื่นที่มีอายุสั้นๆ หรือพืชที่ค่อนข้างถาวรแซมเป็นการหารายได้ไปพลางๆ ก่อน ไม่ควรปล่อยให้ดินว่างเปล่า นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังต้องคอยดายหญ้าอยู่เสมออีกด้วย พืชที่ควรปลูกแซมระหว่างที่ต้นมะม่วงยังเล็กอยู่คือ พวกพืชตระกูลถั่วต่างๆ ซึ่งเป็นพืชช่วยบำรุงดิน เมื่อเก็บถั่วแล้ว ขุดสับลงดิน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ดินและพืชต่อไป ส่วนพืชที่ไม่ควรปลูกแซมคือ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง เป็นต้น เพราะเป็นพืชที่ทำให้ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
การปลูกพืชแซมอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งนิยมกันในการปลูกไม้ผลทั่วไปคือ ปลูกกล้วยลงไปก่อน เมื่อกล้วยโตพอ สมควรจึงปลูกมะม่วงตามลงไป ต้นกล้วยจะช่วยเป็นร่มเงาไม่ให้ต้นมะม่วงโดนแดดจัดเกินไป และทำให้สวนชุ่มชื้นอยู่เสมอ จะช่วยให้ต้นมะม่วงโตเร็ว และประหยัดการให้น้ำด้วย จนเมื่อเห็นว่า ต้นมะม่วงโตมากแล้ว และโดนต้นกล้วยบังร่มเงา ก็ทยอยขุดต้นกล้วยออก โดยขุดต้นกล้วยที่อยู่ใกล้ๆ ต้นมะม่วงออกก่อน จนกว่าต้นกล้วยจะหมดไป และต้นมะม่วงโตขี้นมาแทนที่ ต้นกล้วยที่ตัดหรือขุดรื้อทิ้งนั้น ให้ผ่าเป็นสองซีก ใช้เป็นวัตถุคลุมดินได้ดี ป้องกันไม่ให้หญ้าขึ้น และช่วยรักษาความชื้นของดิน การปลูกต้นกล้วยแซมนี้ มีข้อเสียตรงที่ต้องเสียแรงงานมากในการขุดรื้อต้นกล้วยออก
4. ฤดูปลูก
มะม่วงควรปลูกตอนต้นฤดูฝน หรือในประมาณเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม เพื่อให้มะม่วงตั้งตัวได้เร็วขึ้น เนื่องจากในฤดูฝนอากาศมีความชุ่มชื้นดี ทำให้มะม่วงตั้งตัวได้เร็ว และเป็นการสะดวกไม่ต้องรดน้ำในระยะแรก
การปลูกมะม่วง
พันธุ์มะม่วงและการขยายพันธุ์
พันธุ์มะม่วง
มะม่วงมีมากมายหลายสิบพันธุ์ อาจแบ่งเป็นพวกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ
(1) มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น พิมเสนมัน แรด เขียวเสวย มันหนองแซง ฟ้าลั่น เป็นต้น
(2) มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน ทองดำ เป็นต้น
(3) มะม่วงที่ปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้
- มะม่วงสำหรับดอง เช่น มะม่วงแก้ว เป็นต้น
- มะม่วงสำหรับบรรจุกระป๋อง เช่น ทำน้ำคั้น มะม่วงแช่อิ่ม เช่น มะม่วงสามปี เป็นต้น
สำหรับมะม่วงพันธุ์ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ได้แก่ มะม่วงสุกพันธุ์หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ ทองดำ และมะม่วงแก้ว ซึ่งตลาดต่างประเทศที่ประเทศไทยส่งไปจำหน่ายมากได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย
มะม่วงเป็นพืชที่ปลูกเพื่อรับประทานผล และผลที่ได้นั้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงสามารถปลูก และผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องที่ มะม่วงหลายพันธุ์ยังเป็นผลไม้ที่ตลาดต่างประเทศต้องการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การปลูกมะม่วงแบบเป็นการค้านั้น จะต้องศึกษาถึงสภาพความเหมาะสมต่าง ๆ หลายประการด้วยกัน ผู้ปลูกจะต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย เพื่อให้ประหยัดต้นทุนในการผลิต ตลอดจนสามารถผลิตผลมะม่วงที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดได้ เอกสารนี้ได้ให้ความรู้พื้นฐานกว้าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีบางอย่างที่เป็นประโยชน์ ผู้ที่สนใจจะปลูกมะม่วง สามารถใช้เป็นคู่มือเบื้องต้นในการทำสวนมะม่วงได้เป็นอย่างดี
พันธุ์มะม่วงและการขยายพันธุ์
พันธุ์มะม่วง
มะม่วงมีมากมายหลายสิบพันธุ์ อาจแบ่งเป็นพวกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ
(1) มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น พิมเสนมัน แรด เขียวเสวย มันหนองแซง ฟ้าลั่น เป็นต้น
(2) มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน ทองดำ เป็นต้น
(3) มะม่วงที่ปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้
- มะม่วงสำหรับดอง เช่น มะม่วงแก้ว เป็นต้น
- มะม่วงสำหรับบรรจุกระป๋อง เช่น ทำน้ำคั้น มะม่วงแช่อิ่ม เช่น มะม่วงสามปี เป็นต้น
สำหรับมะม่วงพันธุ์ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ได้แก่ มะม่วงสุกพันธุ์หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ ทองดำ และมะม่วงแก้ว ซึ่งตลาดต่างประเทศที่ประเทศไทยส่งไปจำหน่ายมากได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย
มะม่วงแก้ว
มะม่วงทองดำ
ผลดิบ มีรสชาติมันปนเปรี้ยว เมื่อผลสุกผิวผลจะเป็นสีเขียวปนเหลืองเล็กน้อยทำให้ดูคล้ำๆหรือดำๆ เนื้อในขณะสุกมีด้วยกัน 2 ชนิดพันธุ์คือ เป็นสีเหลืองเข้มกับสีส้ม จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะของสีผลและเนื้อในสุกว่า “มะม่วงทองดำ” รสชาติหวานหอมอร่อยมาก สมัยเป็นเด็กจำได้ว่าเวลากิน “มะม่วงทองดำ” สุกจะเอาผลล้างน้ำให้สะอาดแล้วบีบคลึงให้เนื้อในเละจึงกัดบริเวณตูดผลดูดกินเนื้อจนหมด หรือบีบเนื้อให้เละแล้วใช้มีดคมๆ เฉือนส่วนหัวผลดูดกินเนื้อให้เหลือครึ่งหนึ่ง เอาข้าวสวยร้อนๆ หรือข้าวเหนียวร้อนๆยัดลงไปให้เข้ากับเนื้อสุกรับประทานอร่อยมาก ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
มะม่วงมหาชนก Mahachanok Mango
เป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างมะม่วงพันธุ์ซันเซท และมะม่วงหนังกลางวันซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวมากเมื่อรับประทานดิบแต่ถ้ารับประทานสุกจะหวานอร่อยมาก(ซึ่งตอนนี้มะม่วงหนังกลางวันกลายเป็นมะม่วงที่หายากไปซะแล้ว)
ลักษณะเด่นของมะม่วงมหาชนกคือ ผลใหญ่สีผิวสวยแก้มสีแดงอมชมพู สวยมาก รสหวาน
จากข้อมูลข้างต้น มะม่วงมหาชนก จึงเป็นที่ถูกปากคนไทยและเทศจึงนิยมปลูกมะม่วงมหาชนกเพื่อการส่งออก
มะม่วงมหาชนกไม่ใช่มะม่วงพันธุ์ทวายที่ออกลูกทั้งปี แต่ถ้าปลูกในแหล่งที่มีมะม่วงอื่นออกดอกติดผลตลอดปี มะม่วงมหาชนก ก็จะออกดอกติดผลตลอดปีเหมือนกัน นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่เช่นกัน
12.2.58
มะม่วงมากสรรพคุณ
อากาศร้อนมาถึงทีไรต้องนึกถึงขนมไทยสุดยอดของความอร่อย ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงมีสรรพคุณทางยามากมาย มะม่วง ผลไม้ยอดฮิตที่นิยมบริโภคตลอดปี ไม่ว่าจะบ้านไหน เรือนไหนก็นิยมปลูกกันไว้ในรั้วบ้าน มะม่วงนอกจากจะนำมารับประทานได้หลายรูปแบบแล้วยังเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาได้เป็นอยางดี ส่วนอื่นๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ ดอกมะวม่วง มีวิตามินเอและซีสูง และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เรียกได้ว่า มะม่วงลูกหนึ่งมีสารอาหารเกือบครบเลยทีเดียว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาจหายไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะมะม่วงก็มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากเหมือนกัน ชื่ออื่น ขุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) แป (ละว้า-เชียงใหม่) โคกแล้ะ (ละว้า-กาญจนบุรี) เจาะ ช้อก ซ้อก (ชอง-จันทบุรี) เปา (มลายู-ภาคใต้) สะวาย (เขมร) ส่าเคาะส่า สะเคาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะม่วงบ้าน (ทั่วไป) มะม่วงสวน (ภาคกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera indica Linn. วงศ์ ANACARDIACEAE ลักษณะ มะม่วงเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง เปลือกต้นหนาสีเทาขรุขระแตกเป็นเกร็ดๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมาย ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะของใบเรียวแหลม คล้ายรูปหอก กว้าง 2-9 ซ.ม. ยาว 10-30 ซ.ม. ใบหนารอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อหนึ่งมีประมาณ 15-20 ดอก แต่ละช่อมีดอกย่อยถึง 3000 ดอก มีสีเหลืองอ่อน มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีกลีบดอก 5 กลีบ ผล มีรูปร่างคล้ายรูปไต ผลดิบมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองและรสหวาน หนึ่งผลมีเมล็ดเดียว ลักษณะแบน เป็นรูปไข่รีขนาดใหญ่ ส่วนที่ใช้ เมล็ด ผล ใบ เปลือกลำต้น สรรพคุณทางยาสมุนไพร เมล็ดสดๆ มารับประทาน หรือนำมาโรยเกลือ รับประทานเพื่อขับปัสสาวะหรือแก้บวมน้ำ เนื้อในเมล็ดใช้แก้ท้องร่วง ผลมะม่วง นำมาคั้นรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะหรือร้อนใน แก้คลื่นไส้ แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร ใบมะม่วง นำมาพอประมาณต้มรับประทานแก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้ลำไส้อักเสบ หรือใช้ใบสดๆ ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลสด จะเป็นยาสมานแผลสดได้ดีที่เดียว เปลือกลำต้นมะม่วง ใช้เปลือกสดๆ มาต้มรับประทานเป็นยาแก้โรคคอตีบ เยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ คุณค่าทางอาหาร มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว เอาไปทำของคาวได้หลายอย่าง ที่เห็นบ่อยมากคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ ในส่วนที่นำไปเป็นของว่างนั้น มะม่วงดิบรับประทานเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน เมี่ยงส้ม มะม่วงสุกที่มีรสหวาน นำมารับประทานกับข้าวเหนียว กวนเป็นแผ่น หรือนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้ มะม่วงอุดมด้วยฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันไม่ให้เปราะหักง่าย นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณมาก ช่วนเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคหวัด และมีวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม พลังงาน 67 แคลอรี่ โปรตีน 0.5 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 15.7 กรัม ใยอาหาร 2.4 กรัม แคลเซียม 14.00 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 2 มิลลิกรัม เหล็ก มีน้อยมาก เบต้าแคโรทีน 37 ไมโครกรัม วิตามีนบี 1 0.05 มิลลิกรัม วิตามีนบี 2 0.02 มิลลิกรัม ไนอะซีน 0.2 มิลลิกรัม วิตามีนซี 35 มิลลิกรัม |
น้ำปลาหวาน – มะม่วง
- ปอกเปลือกหัวหอมแดง ล้างน้ำ พักให้สะเด็ดน้ำ แล้วซอยบาง ๆ ตามยาว พักไว้
- พริกขี้หนูสวน ล้างน้ำ พักให้สะเด็ดน้ำ ซอยบาง ๆ พักไว้ แม่หลิ่มใส่แค่ 5-6 เม็ดเองนะคะ ไม่ได้ใส่หมด ขึ้นกับความชอบค่ะ แต่โดยรสชาติน้ำปลาหวานแล้วเค้าไม่ได้เผ็ดนำค่ะ
- ชิมรสชาติกุ้งแห้งไว้เป็นแนวทางว่าออกเค็มน้อยหรือเค็มมากแค่ไหน
- นำกุ้งแห้งตัว ๆ ไม่ติดเปลือกใส่โถปั่นแห้ง ปั่นพอหยาบแล้วเก็บไว้ 1/4 ถ้วย
- ปั่นกุ้งแห้งที่เหลือให้ละเอียดกว่าส่วนแรกให้ได้ 1/4 ถ้วย พักไว้
- นำน้ำตาลปีบ กะปิ น้ำปลา ใส่หม้อใบย่อม ๆ อาจจะใส่น้ำไปสัก 1-2 ช้อนโต๊ะเพื่อช่วยให้น้ำตาลปีบละลายง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำเยอะมากเพราะสุดท้ายเราก็ต้องเคี่ยวให้ข้นเล็กน้อย ใส่น้ำมากจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแก๊สโดยใช่เหตุค่ะ
- ใช้ทัพพีบี้ให้กะปิและน้ำตาลปีบกระจายตัวและเข้ากันดี
- นำหม้อขึ้นตั้งไฟกลางมาทางอ่อนสักพักให้น้ำตาลละลายให้หมด น้ำตาลจะเหลวขึ้น
- ลดไฟลงเคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ ใช้ทัพพีคนเป็นระยะช่วยได้ ระวังอย่าให้ไฟแรงไปจะล้นและไหม้ได้ง่าย ๆ ค่ะ
- เคี่ยวให้เดือดสักพักและให้ได้ความข้นประมาณนมข้นหวาน ลองชิมรสชาติดู อย่าให้เค็มนำเพราะกุ้งแห้งมีความเค็มอีก
- ใส่กุ้งแห้งป่น หัวหอมซอย พริกขี้หนูซอย คนพอทั่ว
- เคี่ยวต่อ น้ำปลาหวานจะใสขึ้นเล็กน้อยเพราะน้ำออกจากหัวหอม ชิมรสชาติดู ถ้าอ่อนเค็มเติมน้ำปลา ถ้าเค็มเกินไปเติมน้ำตาลปีบ
- เคี่ยวให้ข้นเล็กน้อย ปิดเตา น้ำปลาหวานจะมีฟอง ต้องตั้งทิ้งไว้สักพักฟองจะหายไป
- ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอยและพริกขี้หนูซอยเล็กน้อยก่อนเสิร์ฟกับมะม่วงเปรี้ยว ๆ หรือแอปเปิ้ลเขียวค่ะ