สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
•ควรเป็นพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 10-300 เมตร
•ปลูกได้ทั้งพื้นที่ดอนและที่ลุ่ม น้ำไม่ท่วมขัง
•พื้นที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
•มีการคมนาคมและการขนส่งสะดวก
ลักษณะดิน
•ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินร่วมปนทราย มีการระบายน้ำได้ดี
•มีความเป็นกรดปานกลางถึงด่างเล็กน้อยประมาณ 5.5-7.5 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมะม่วงมีความสามารถ ในการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตได้ดีในสภาพความเป็นกรด - ด่าง ของดินที่ค่อนข้างจะกว้าง
สภาพภูมิอากาศ
•อุณหภูมิที่เหมาะสมเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 20-34 องศาเซลเซียส
•ต้องการช่วงแล้งก่อนการออกดอกประมาณ 2 เดือน และอุณหภูมิต่ำประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันประมาณ 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับพันธุ์
•มะม่วงบางพันธุ์ ไม่ต้องการอุณหภูมิต่ำเพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก เช่นพันธุ์ที่มีนิสัยการออกดอกทะวาย
•ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 700-1500 มิลลิเมตรต่อปี และการตกของฝนกระจายตัว สม่ำเสมอในฤดูฝน
แหล่งน้ำ
•ควรมีแหล่งน้ำที่สะอาด
•ไม่มีสารที่เป็นพิษปนเปื้อน
•น้ำมีความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมประมาณ 6.0-7.5
•ต้องมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในระยะพัฒนาผล
พันธุ์
มีหลักที่ใช้ในการพิจารณา
คือ เป็นพันธุ์ที่ตลาดมีความต้องการและสามารถปลูกแล้วเจริญเติบโตดีให้ผลผลิตสูง และคุณภาพได้มาตรฐานตรงตามพันธุ์ เนื่องจากมะม่วงบางสายพันธุ์ต้องการปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต ที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิต เช่น ทางด้านรสชาติ ความกรอบ ความแน่นเนื้อ และความหวาน เป็นต้น พันธุ์มะม่วงที่แนะนำให้ปลูก ได้แก่
มะม่วงแก้วศรีสะเกษ 007
ต้นแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ต่ำ และแห้งแล้ง ผลผลิตเฉลี่ย 300 ผล/ต้น/ปี น้ำหนักผลเฉลี่ย 252 กรัม เนื้อผลละเอียด เปอร์เซ็นต์เนื้อ 81% ความแน่นเนื้อ 2.67 กก./ซม.2 คุณภาพในการแปรรูปดี เหมาะสำหรับดองเค็ม แช่อิ่ม และปรุงรสบรรจุกระป๋อง
มะม่วงมรกต
เป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างแม่พันธุ์แก้วเขียว และพ่อพันธุ์สามปี มีลักษณะเด่นที่เนื้อแข็ง กลิ่นหอม เปลือกหนา รสชาติอร่อย เปอร์เซ็นต์เนื้อ(59%)และน้ำตาลค่อนข้างสูง เนื้อมากเมล็ดบาง ผลขนาด 4-5 ผลต่อกิโลกรัม
พันธุ์ตลับนาค หรือสายต้น ศก. 002
ลำต้นแข็งแรง ทรงต้นแผ่กว้าง (เตี้ย) ผลกลมขนาดใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ย 395.40 กรัม ให้ผลผลิตสูง ผลผลิตเฉลี่ย 841.5 ผล/ต้น/ปี ออกดอกและติดผลง่าย ติดผลทุกปี ผิวผลสวย เนื้อละเอียด ทนทานต่อ โรค และแมลง
พันธุ์โชคอนันต์
ต้นแม่เป็นมะม่วงที่ปลูกจากเมล็ดที่สุสานจีน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ผลมีลักษณะเนื้อแน่นแข็ง เปลือก หนาเหนียว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองอมส้มรสชาติหวานหอม เป็นพันธุ์ทวาย การออกดอกและติดผลง่าย สามารถบังคับดอกได้ง่ายไม่กลัวฝน
พันธุ์สามปี
เป็นมะม่วงที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อมีสีส้มค่อนข้างละเอียด เส้นใยเล็กน้อย ให้ผลผลิต
ค่อนข้างสูงแต่ผลขนาดค่อนข้างเล็ก เปอร์เซ็นต์เนื้อ เท่ากับ 58.5% ความหวานเฉลี่ย 21.3 องศาบริกซ์ การเจริญเติบโตดีมาก ทนทานต่อโรค และแมลงได้ดี
การปลูก
การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ดอน
ปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ แล้วไถดะและพรวน 1-2 ครั้ง
พื้นที่ลุ่ม
ควรยกร่องให้สันร่องสูงกว่าระดับน้ำที่เคยท่วมสูงสุด 0.5 - 1.0 เมตร ปลูกมะม่วงบนสันร่อง ระยะระหว่างสันร่อง 6-8 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1.0 - 1.5 เมตร
วิธีการปลูก
การเลือกต้นพันธุ์มะม่วง
•เป็นพันธุ์ที่คัดเลือกจากสวนหรือแหล่งพันธุ์ที่เชื่อถือได้
•ต้นพันธุ์ได้จากการขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ เช่น การทาบกิ่ง การเปลี่ยนยอด เป็นต้น
•ต้นมีความสูงมากกว่า 60 เซนติเมตร มีระบบรากแข็งแรงไม่ขดหรืองอ
ระยะปลูก
•ระยะปลูกทั่วไปคือ ระยะระห่างแถว 6-8 เมตร ระหว่างต้น 6-8 เมตร
•ระบบการปลูกชิด เช่น ปลูกระยะ 4x4 เมตร ได้จำนวนต้นและผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่มาก ขณะที่การลงทุนเพิ่มมากขึ้น
•มีการควบคุมทรงพุ่มและการจัดการมากยิ่งขึ้นกว่าระยะปลูกปกติ
ขั้นตอนการปลูก
•ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร กรณีพื้นที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้วัสดุปรับปรุงดินเพิ่มมากขึ้น
•วัสดุปรับปรุงดินที่ใช้กับหลุมขนาดปกติ ประกอบด้วยหินฟอสเฟต 0.5 กิโลกรัม ปุ๋ยอินทรีย์ 5-10 กิโลกรัม ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 200-300 กรัม คลุกเคล้ากับดิน นำมะม่วงออกจากถุงแล้วปลูกมะม่วงลงกลางหลุม ปักหลักยึดต้นกันการโยกคลอน แล้วใช้มีดกรีดเอาพลาสติกบริเวณรอยต่อระหว่างยอดพันธุ์กับต้นตอออก
•ในแหล่งปลูกที่มีลมแรงควรปลูกไม้บังลมเป็นแถว หรือเป็นแนวขวางทิศทางลมล่วงหน้าหรือปลูกพร้อม ๆ กับการปลูกมะม่วง เช่น สะเดา หรือไผ่ เป็นต้น
ฤดูปลูก
ต้นฤดูฝนเหมาะสมที่สุด มะม่วงที่ปลูกจะมีการเจริญเติบโต และตั้งตัวได้ก่อนถึงฤดูแล้ง แต่ถ้าหากมีระบบการ ให้น้ำก็สามารถปลูกมะม่วงได้ทุกฤดูกาล
การดูแลรักษา
การเตรียมความพร้อมต้นมะม่วง
มะม่วงเริ่มปลูกถึงก่อนให้ผลผลิต
•กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดปี
•ตัดแต่งกิ่ง และจัดโครงสร้างต้น ให้เหมาะสมกับระยะปลูก
•ป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้มะม่วงมีกิ่งแข็งแรงมีใบสมบูรณ์
มะม่วงระยะเจริญทางกิ่งใบ
•หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยทางดินทันที พร้อมกับการให้น้ำ อย่างเพียงพอ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต และสร้างความสมบูรณ์ของต้น
•มะม่วงแตกใบใหม่อย่างน้อย 2 รุ่นในรอบปี ดูแลรักษาให้ต้นและใบมะม่วงสมบูรณ์เต็มที่
การเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างตาดอก
ปลายฤดูฝนได้ต้นมะม่วงที่แข็งแรงสมบูรณ์ ควบคุมให้ต้นพักตัวและสะสมอาหารมะม่วงจะสร้างตาดอก ในระยะนี้ โดยงดการให้น้ำก่อนฤดูออกดอกอย่างน้อย 2 เดือน และไถพรวนรอบนอกทรงพุ่ม เป็นการตัดรากมะม่วงบางส่วนและกำจัดวัชพืชพร้อมกัน ในกรณีที่มีฝนหลงฤดูตกลงมา ควรพ่นปุ๋ยทางใบ เช่น สูตร 2-52-34 อัตรา 100-150 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อช่วยให้มะม่วงไม่แตกใบอ่อนและ ยังคงมีการสะสมอาหารต่อไป
การเพิ่มปริมาณและปรับปรุงคุณภาพผลผลิต
พัฒนาการของตาดอก
มะม่วงจะพักตัวระยะหนึ่งแล้วจะเริ่มแทงช่อดอก ในระยะนี้ควรเริ่มให้น้ำปริมาณน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของช่อดอก ทำการป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำ
การเพิ่มการติดผล
หลังจากมะม่วงเริ่มติดผลแล้วควรเพิ่มปริมาณการให้น้ำขึ้น โดยในระยะ 7-10 วัน หลังการติดผล เพิ่มปริมาณการให้น้ำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับที่มะม่วงต้องการอย่างเต็มที่
การส่งเสริมการพัฒนาของผล
•โดยการให้น้ำไปตลอด และหยุดการให้น้ำก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 10-15 วัน
•ใส่ปุ๋ย ตามพัฒนาการของผล
การป้องกันผลผลิตเสียหาย
การห่อผล ห่อเมื่อผลอายุ 45-60 วัน จะทำให้มะม่วงมีคุณภาพดี เช่น ผิวผลสวยลดการร่วงของผล ลดหรือป้องกันการเข้าทำลายของโรคและแมลงบางชนิด เป็นต้น
การให้ปุ๋ย
•กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่มก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง
•มะม่วงอายุ 1-2 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้งเท่ากันในช่วงต้นและปลายฤดูฝน ใส่รอบโคนต้นแล้วพรวนดินกลบ
•มะม่วงที่ให้ผลผลิตแล้วหรือต้นอายุ 3 ปีขึ้นไป มีการใส่ปุ๋ยเป็นระยะตามพัฒนาการหรือความต้องการดังนี้
• ระยะบำรุงต้น หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและตัดแต่งกิ่งแล้วใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 20-10-10 หรือ 30-10-10 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง ร่วมไปกับปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง โดยใส่รอบทรงพุ่มแล้วพรวนดินกลบ ใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อมะม่วงเริ่มแตกใบชุดที่ 2 โดยใช้สูตรปุ๋ย และอัตราเดิม
•ระยะเร่งสร้างตาดอก ก่อนมะม่วงออกดอก 2-3 เดือน ใส่ปุ๋ย 12-24-12 หรือ 8-24-24 อัตรา 1-2 กิโล กรัมต่อต้น สำหรับต้นอายุ 2-4 ปี อัตรา 2-4 กิโลกรัมต่อต้น สำหรับต้นอายุ 5-7 ปี และ 4-6 กิโลกรัม ต่อต้น เมื่อต้นอายุ 8 ปีขึ้นไป
•ระยะบำรุงผล หลังดอกบาน 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้น
•ระยะปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 เดือน ใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น และอาจพ่นปุ๋ยทางใบร่วมในระยะนี้ด้วย
หมายเหตุ : อัตราการใส่ปุ๋ย ควรปรับใช้ตามขนาดต้น อายุพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ใช้ตามค่าการวิเคราะห์ดินและพืช
การให้น้ำ
วิธีการให้น้ำ
•ระบบให้น้ำแบบหัวเหวี่ยงเล็ก การปฏิบัติงานทำได้สะดวก ประหยัดแรงงานและพืชได้น้ำสม่ำเสมอ
•การให้น้ำแบบสายยางรดหรือแบบปล่อยตามร่องขนาดเล็ก มีต้นทุนต่ำกว่าระบบแรก แต่ควบคุม ปริมาณน้ำที่ให้พืชได้ยาก ไม่สม่ำเสมอ ใช้น้ำ แรงงาน และเวลามากกว่าระบบหัวเหวี่ยงเล็ก
ปริมาณน้ำ
•มะม่วงระยะบำรุงต้น มีความต้องการน้ำประมาณ 0.5 เท่าของอัตราการระเหยน้ำ กล่าวคือ ถ้าสภาพ อากาศมีอัตราการระเหยน้ำ 5 มิลลิเมตรต่อวัน (การระเหย 1 มิลลิเมตรเทียบเท่ากับน้ำ 1 ลิตรต่อ ตารางเมตร) ต้นมะม่วงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 3 เมตร จะต้องให้น้ำประมาณ 22.5 ลิตรต่อต้น ต่อวัน (ครั้ง)
•มะม่วงหลังการติดผล ถือเป็นระยะวิกฤตที่มะม่วงต้องการใช้น้ำมากที่สุด ประมาณ 0.7-0.8 เท่าของ อัตราการระเหยน้ำ กล่าวคือ ถ้าสภาพอากาศมีอัตราการระเหยน้ำ 5 มิลลิเมตรต่อวัน ต้นมะม่วงที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 5 เมตร จะต้องให้น้ำประมาณ 87.5-100 ลิตรต่อต้นต่อวัน (ครั้ง)
ความถี่ของการให้น้ำ
ขึ้นกับเนื้อดินและสภาพอากาศ ดินที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายให้น้ำ 2-3 วันต่อครั้ง เนื้อดินเป็นดิน เหนียวให้น้ำ 4-5 วันต่อครั้ง อย่างไรก็ตามอาจใช้วิธีสังเกตจากความชื้นดิน และสภาพของใบมะม่วง ประกอบการวางแผนให้น้ำก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น จากตัวอย่างที่ยกมาจากข้างบน ปริมาณการให้น้ำมะม่วง ระยะบำรุงต้นพืชต้องการน้ำ 22.5 ลิตรต่อต้นต่อวัน ถ้าต้องการให้น้ำ 4 วันต่อครั้งดังนั้นต้องให้น้ำ เท่ากับ 90 ลิตรต่อครั้ง
การงดให้น้ำ
ในช่วงก่อนมะม่วงออกดอกจะต้องงดให้น้ำจนกว่ามะม่วงเริ่มแทงช่อดอกแล้ว
จึงจะเริ่มให้น้ำอีก
การตัดแต่งกิ่ง
การจัดทรงหรือสร้างทรงพุ่มมะม่วง
•เลือกลำต้นหลัก 1 ลำต้น ความสูง 75-100 เซนติเมตร
•ทำลายตายอด ทำให้ตาข้างผลิเกิดเป็นกิ่งแขนง คัดเลือกกิ่งไว้ในทิศทางที่ต้องการ 3-5 กิ่ง และเลือกกิ่งไว้ ไปอีก 2-3 ครั้ง ตามขนาดทรงพุ่มที่ต้องการ
•ขนาดพุ่มต้นควรคำนึงถึงความสะดวกในการทำงานรวมถึงความปลอดภัยและเหมาะสมกับเครื่องมือที่มีอยู่
วิธีการตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งแบบบางเบา
•เป็นการบังคับ และเลือกกิ่งให้เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ต้องการ
•ตัดแต่งกิ่งที่ไม่ต้องการออก เช่น กิ่งที่โรคและแมลงทำลาย กิ่งกระโดง กิ่งไขว้ กิ่งไม่สมบูรณ์ กิ่งที่ผลิบริเวณ ปลายกิ่งที่แน่นมากเกินไปออก
การตัดแต่งแบบปานกลาง
•เมื่อพุ่มต้นใกล้จะชนกัน ตัดกิ่งรอบนอกทรงพุ่มทั้งหมดจากปลายยอดลึกเข้าหาศูนย์กลางต้นยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร
•มะม่วงจะผลิตา แตกกิ่ง - ใบใหม่มาทดแทน
•คัดเลือกกิ่งและตัดแต่งกิ่งอย่างบางเบา หลังการตัดแต่งแบบปานกลางอีก 1-2 ครั้ง
การตัดแต่งกิ่งแบบหนัก
•เมื่อต้นอายุมาก ต้นถูกโรคและแมลงทำลาย หรือต้นทรุดโทรม
•สร้างโครงสร้างต้นมะม่วงใหม่ โดยตัดแต่งกิ่งเปิดกลางทรงพุ่มให้มีความสูง 1.5-3.0 เมตร ปริมาตรทรงพุ่ม ตัดออกไปประมาณครึ่งหนึ่ง
•กิ่งที่ถูกตัดเป็นแผลขนาดใหญ่ควรทาแผลด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อรา หรือสีน้ำมันจากนั้นกิ่งจะผลิตาให้กิ่ง แขนงใหม่ ทำการคัดเลือกและตัดแต่งกิ่งอย่างบางเบา 1-2 ครั้ง
•เมื่อกิ่งแขนงใหม่บริเวณกลางทรงพุ่ม มีโครงสร้างเจริญเติบโตแข็งแรงมาทดแทนกิ่งเดิม และคาดการณ์ จะสามารถให้ผลผลิตในปีต่อไปได้ ให้ตัดแต่งกิ่งโครงสร้างเก่าที่อยู่รอบนอกของ โครงสร้างใหม่ออก มีความยาวใกล้เคียงกับการตัดแต่งกิ่งเปิดกลางทรงพุ่ม คัดเลือกกิ่งและตัดแต่งกิ่งแบบบางเบา 1-2 ครั้ง
•ผลผลิตจะลดลงบ้างประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ สามารถให้ผลผลิตได้เต็มที่ในปีที่ 3 หลังจากเริ่มตัดแต่ง กิ่งอย่างหนัก
หมายเหตุ :
หลังจากตัดแต่งกิ่งทุกครั้งควรบำรุงต้นมะม่วงทันที ด้วยการใส่ปุ๋ยและให้น้ำ เพื่อเร่งการ ผลิตสร้างกิ่ง และใบใหม่ที่สมบูรณ์มาทดแทนได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันกำจัดศัตรูพืชทุกครั้งที่มีกิ่ง - ใบอ่อน ผลิมาใหม
โรคและการป้องกันกำจัด
โรคแอนแทรคโนส
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการ ใบอ่อนไหม้บิดเบี้ยว ใบเป็นจุดสีน้ำตาลขอบสีเข้ม ขนาดแผลไม่แน่นอน ถ้าเป็นในระยะ ต้นกล้า จะเป็นจุดแผลสีน้ำตาล - ดำบนลำต้นหรือกิ่งอ่อน แผลจะมีลักษณะแข็งยุบตัวลงเล็กน้อย ถ้าเป็น กับดอก ก้านช่อดอก จะเป็นจุดแผลสีแดงหรือน้ำตาลแดง ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มแล้วกลายเป็นสีดำ ส่วนผล เป็นจุดแผลสีดำรูปร่างไม่แน่นอน แผลแข็งยุบตัวลงเล็กน้อย แผลบนผลสุกจะมีสีดำคล้ำลุกลาม อย่างรวดเร็ว บริเวณกลางแผลอาจจะพบลักษณะเมือกสีน้ำตาลปนแดงขึ้นเป็นวง
การแพร่ระบาด
เชื้อแพร่ระบาดได้ด้วยลม เชื้อราสามารถเจริญเติบโต และเข้าทำลายส่วนอ่อนของพืช ทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีฝนตกชุกหรือมีสภาพความชื้นสูง
การป้องกันกำจัด
•ตัดแต่งกิ่งหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อควบคุมทรงพุ่ม ลดความชื้น ให้แสงแดดส่องถึงในทรงพุ่มและอากาศ ถ่ายเทได้สะดวก
•กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้น เก็บใบ และกิ่งที่เป็นโรคเผาทำลาย
โรคราแป้ง
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการ เชื้อจะเข้าทำลายที่ใบอ่อน โดยผิวด้านบนจะเป็นจุดแผลช้ำ รูปร่างและขนาดแผลไม่แน่นนอน มีสีผิดไปจากสีของเนื้อใบปกติเล็กน้อย ต่อมาจุดแผลจะค่อยเปลี่ยนเป็น สีเหลืองน้ำตาล และน้ำตาลไหม้ในที่สุด ซึ่งเป็นระยะที่ใบเริ่มแก่ ในบริเวณแผลจะพบผงสีขาวขึ้นฟูส่วนใหญ่ที่ผิวใบด้านล่าง ถ้าเกิดที่ก้านช่อดอกและดอก จะเห็นเป็นผงสีขาวปกคลุมดอกและช่อดอก ซึ่งต่อมาจะทำให้ดอกหลุดร่วงและเป็นแผลช้ำที่ก้านช่อดอก
การแพร่ระบาด ในแหล่งปลูกมะม่วงทั่วไป มักพบทำลายช่อดอกในฤดูหนาวประมาณเดือน ธันวาคม - มกราคม
การป้องกันกำจัด
ในช่วงมะม่วงออกดอก โดยเฉพาะในฤดูที่มีอากาศหนาวเย็นหากพบอาการของโรค ควรทำ การควบคุมโดยฉีดพ่นสารเคมี เช่น เบนโนมิล คาร์เบนดาซิม เป็นต้น
โรคราดำ
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการ คราบสีดำขึ้นปกคลุมผิวใบ หรือส่วนอื่น ๆ ของพืช เช่น กิ่งอ่อน ช่อดอก ดอกและผลซึ่งพบบริเวณ ขั้วผล เชื้อราดำส่วนใหญ่ไม่ได้ทำลายเนื้อเยื่อของพืชโดยตรง แต่การเจริญของราดำบนใบจะไปบดบังการได้รับ แสงของผิวใบ ส่งผลต่อการสังเคราะห์แสงของมะม่วงเป็นอุปสรรคต่อการผสมเกสรของดอก ทำให้มะม่วงไม่ติดผล นอกจากนั้นคราบดำที่เกาะติดทำให้ผิวผลไม่สวย ซึ่งทำให้คุณภาพและราคาผลผลิตตกต่ำลงเป็นอย่างมากด้วย
การแพร่ระบาด
สาเหตุเริ่มจากการระบาดเข้าทำลายพืชของแมลงปากดูดพวกเพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย หรือเพลี้ย แป้ง ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงแล้วถ่ายมูลออกมาเป็นสารคล้ายน้ำหวานโปรยลงมาปกคลุมส่วนต่าง ๆ ของพืชที่อยู่ด้าน ล่าง เป็นผลให้เชื้อราดำหลายชนิดที่มีอยู่ในอากาศสามารถเจริญเติบโตได้
การป้องกันกำจัด
•ป้องกันกำจัดเพลี้ยไม่ให้แพร่ระบาด โดยเฉพาะในช่วงมะม่วงแตกใบอ่อน และแทงช่อดอก โดยหมั่น ตรวจแปลงมะม่วง ถ้าพบร่องรอยของแมลง ควรควบคุมโดยพ่นสารเคมี
•หลังการป้องกันกำจัดแมลงแล้ว หากพบว่ามีคราบน้ำหวานเคลือบอยู่บนใบหรือส่วนของพืช ทำการพ่น น้ำชะล้างหรือละลายคราบน้ำหวานเหล่านั้น เพื่อไม่ให้ราดำเจริญเติบโต
การใช้สารป้องกันกำจัดโรคของมะม่วง
โรค | สารป้องกันกำจัด โรคพืช |
อัตราการใช้ /น้ำ 20 ลิตร |
วิธีการใช้/ข้อควรระวัง |
แอนแทรคโนส | แมนโคเซบ (80% ดับเบิ้ลยูพี) |
40-50 กรัม | พ่นเมื่อมะม่วงเริ่มออกดอก 1 ครั้ง และเมื่อ เริ่มติดผล 6-12 กรัม อ่อน 1 ครั้ง หากมีสภาพฝนชุกความชื้นสูงในช่วงมะม่วงติดผล ควรพ่นสารกำจัดโรคพืชทุก 7-14 วัน ตามความ จำเป็นและเหมาะสม |
เบนโนมิล (50% ดับเบิ้ลยูพี) |
40-50 กรัม | ||
ราแป้ง |
เบนโนมิล (50% ดับเบิ้ลยูพี) |
6-12 กรัม | พ่นเมื่อพบอาการของโรคโดยเฉพาะในระยะ ดอกบานและติดผลอ่อน |
คาร์เบนดาซิม (50% ดับเบิ้ลยูพี) |
15-20 กรัม |
แมลงและการป้องกันกำจัด
เพลี้ยไฟ
ลักษณะและการทำลาย
เป็นแมลงขนาดเล็ก ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเจาะและดูดน้ำเลี้ยงบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอกมะม่วง โดยเฉพาะฐานรองดอกและ ขั้วผลอ่อน ทำให้ช่อดอกหงิกงอ ดอก ร่วง ไม่ติดผล หรือทำให้ติดผลลดลง ผิวของผลมะม่วงจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ทำให้ผลผลิตที่ได้มีราคาตกต่ำ เพลี้ยไฟมีวงจรชีวิตสั้นมาก
ช่วงเวลาการระบาด
ระบาดรุนแรงเมื่ออากาศร้อนและแห้งแล้ง โดยเฉพาะในระยะการออกดอกของมะม่วง
การป้องกันกำจัด
•ถ้าพบไม่มาก ให้ตัดส่วนที่ระบาดไปเผาทิ้ง
•ศัตรูธรรมชาติที่ช่วยทำลายเพลี้ยไฟได้แก่ ไรตัวห้ำและด้วงเต่าตัวห้ำ
•พ่นสารเคมี ตามคำแนะนำตารางที่ 2
เพลี้ยจักจั่นมะม่วง
ลักษณะและการทำลาย
ตัวอ่อนและตัวเต็มเต็มวัยจะพบอยู่เป็นกลุ่มตามช่อดอกและใบ โดยเฉพาะบริเวณโคน ของก้านช่อดอก และก้านใบ ทำลายใบอ่อน ช่อดอก ก้านดอก และยอดอ่อน แต่ระยะที่ทำความเสียหายให้มากที่สุด คือ ระยะที่มะม่วงกำลังออกดอก โดยดูดน้ำเลี้ยงจากช่อดอก ทำให้ดอกแห้งและร่วง ติดผลลดลง ระหว่างที่เพลี้ยจักจั่น ดูดกินน้ำเลี้ยงจะถ่ายมูลมีลักษณะเป็นน้ำเหนียว ๆ คล้ายน้ำหวานเหนียวเยิ้มติดตามใบ ช่อดอก ผล และรอบ ๆ ทรงพุ่มทำให้ใบมะม่วงเปียก ต่อมาจะเกิดราดำปกคลุม ซึ่งถ้าปกคลุมมาก ๆ ก็จะไปกระทบกระเทือนต่อการสังเคราะห์ แสง
ช่วงเวลาการระบาด
ระบาดมากในระยะการแทงช่อดอกจนกระทั่งติดผล
การป้องกันกำจัด
•ตัดแต่งกิ่งภายหลังเก็บผลผลิต จะลดที่หลบซ่อนของเพลี้ยจักจั่นลง ทำให้การพ่นสารฆ่าแมลงมีประสิทธิภาพ ดีขึ้น
•ใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกและใบ เพื่อช่วยแก้ปัญหาช่อดอกและใบดำจากโรคราดำ
•ศัตรูธรรมชาติที่ช่วยทำลายเพลี้ยจักจั่นมะม่วง ได้แก่ แมลงวันตาโต แตนเบียน
•พ่นสารเคมีตามคำแนะนำ ตารางที่ 2
•การพ่นสารฆ่าแมลงให้มีประสิทธิภาพ ควรพ่นให้ทั่วถึงทั้งต้น และต้องคำนึงถึงการปรับหัวฉีดให้พ่นเป็น ละอองฝอย และระยะเวลาการฉีด
เพลี้ยจักจั่นฝอยมะม่วง
ลักษณะและการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะเกาะอยู่ใต้ใบอ่อน ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ขอบใบหงิกงอขอบใบแห้งกรอบเป็นรอยไหม้โค้งงอทางด้านใต้ใบและปลายใบจะแห้งหด ใบอ่อนที่ยังไม่ ถึงระยะเพสลาดจะร่วงเสียหายมาก
ช่วงเวลาการระบาด ระบาดเฉพาะในใบอ่อน
การป้องกันกำจัด ให้ใช้วิธีเดียวกับเพลี้ยจักจั่นมะม่วง
หนอนผีเสื้อเจาะผลมะม่วง
ลักษณะและการทำลาย ตัวเต็มวัยจะวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ ที่ขั้วผล เมื่อหนอนฟักเป็นตัวจะคลานเข้าไปทำ ลายบริเวณก้นผล หนอนอาศัยและกัดกินอยู่ภายในและขับมูลออกทางรูที่เจาะเข้าไป อาจพบหนอน 5-10 ตัว ต่อผล ทำให้ผลเน่าเสียและร่วงหล่น
ช่วงเวลาการระบาด พบการทำลายทั้งผลอ่อนและเริ่มแก่
การป้องกันกำจัด
•ห่อผลมะม่วงตั้งแต่ขนาดผลอ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ผีเสื้อมาวางไข่
•เก็บมะม่วงที่ถูกทำลายที่ติดอยู่บนต้น และที่ร่วงหล่นมาเผาหรือฝังทำลาย
แมลงวันผลไม้ หรือ แมลงวันทอง
ลักษณะและการทำลาย ตัวเมียจะวางไข่ใต้ผิวผลไม้ที่สุกหรือใกล้สุก หนอนที่ฟักออกมาจะอาศัยกัดกินและ ชอนไชอยู่ภายในผล ทำให้ผลเน่าเสียและร่วงหล่น ก่อให้เกิดปัญหาต่อเศรษฐกิจในระดับชาติอย่างมาก
ช่วงเวลาการระบาด
พบในระยะที่มะม่วงเริ่มสุก สีผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
การป้องกันกำจัด
•การทำความสะอาดแปลงเพาะปลูกโดยการเก็บผลไม้ที่ถูกทำลายไปฝังหรือเผา
•ควรห่อผล เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันผลไม้ไปวางไข่
•การใช้สารล่อสารเคมีที่ใช้สารล่อนี้จะสามารถดึงดูดได้เฉพาะแมลงวันผลไม้ ตัวผู้เท่านั้น สารล่อที่ใช้ในสวนมะม่วง คือ เมทธิลยูจินอล ผสมสารฆ่าแมลง อัตรา 2 : 1 โดยปริมาตร
•การใช้เหยื่อโปรตีน แมลงวันผลไม้ต้องการแหล่งอาหารโปรตีน เพื่อการผลิตไข่ จึงได้มีการนำเอา โปรตีนไฮโดรไลเซทผสมกับสารฆ่าแมลง มาเป็นเหยื่อล่อแมลงวันผลไม้ โดย่นเป็นจุด ๆ เท่านั้น สารนี้สามารถดึงดูดได้ทั้งแมลงวันผลไม้ตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเข้าทำลายของแมลง ผลไม้ได้อย่างดี
การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูมะม่วง
แมลง | สารป้องกันกำจัดแมลง | อัตราการใช้/น้ำ 20 ลิตร | วิธีการใช้/ข้อควรระวัง |
เพลี้ยไฟ | แลมด้า ไซฮาโลทริน (2.5% อีซี) | 10 มิลลิลิตร | ระยะใบอ่อน พ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วันระยะดอก พ่นเมื่อเริ่มแทงช่อดอก และมะม่วงเริ่มติดผลขนาด 0.5-1.0 เซนติเมตร เมื่อช่อ ดอกบานแล้วไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลง |
เฟนโพรพาทริน (10% อีซี) |
30 มิลลิลิตร | ||
เพลี้ยจักจั่นมะม่วง เพลี้ยจักจั่นฝอยมะม่วง |
แลมด้า ไซฮาโลทริน (2.5 % อีซี) |
10 มิลลิลิตร | พ่นในระยะ ก่อนมะม่วงออกดอก และเมื่อ มะม่วงเริ่มแทงช่อดอกส่วนในระยะ ดอกตูมและก่อนดอกบานถ้าพบเพลี้ยจักจั่น 5 ตัวต่อช่อควรพ่นอีก 1-2 ครั้ง การพ่นสาร ฆ่าแมลงล่าช้าอาจทำให้ดอกร่วงหมด |
แมลงวันผลไม้ | เมทธิล ยูจินอล ผสมมาลาไธออน (83% อีซี) | 2 : 1 | พ่นเป็นจุดบนใบแก่ต้นละ 4 แห่ง ๆ ละ 50 มิลลิลิตร พ่นทุก 7 วัน |
มาลาไธออน (83% อีซี) ผสมยีสต์โปรตีน ไฮโดรไลเซท | 280 มิลลิลิตร ต่อ 800 มิลลิลิตร ผสมในน้ำ 20 ลิตร |
การเก็บเกี่ยว
อายุการเก็บเกี่ยว
อายุการเก็บเกี่ยวมีผลต่อคุณภาพมะม่วง และระยะเวลาการวางจำหน่าย รวมทั้งการยอมรับจากผู้บริโภค อายุเก็บเกี่ยวสำหรับมะม่วงเพื่อการบริโภคสด ต้องเก็บเมื่อผลแก่แต่ยังไม่สุก นั้นคือมะม่วงมีพัฒนาการทางสรีระมากเพียงพอ ที่จะสามารถสุกได้เป็นปกติ สังเกตได้จากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่
•นวลที่ผิว รูปทรง สีของผลและสีของเนื้อ
•จำนวนวันหลังจากติดผลหรือแทงช่อดอกจนถึงเก็บเกี่ยว ได้ข้อมูลจากการประมาณการของปีก่อน ๆ แต่สภาพอากาศมีส่วนให้เกิดการคลาดเคลื่อนของวันเก็บเกี่ยวได้
•ทดสอบโดยการนำมะม่วงแช่น้ำ มะม่วงแก่ความถ่วงจำเพาะจะมากกว่าน้ำจึงจมน้ำ
หมายเหตุ :
อายุเก็บเกี่ยวแปรตามฤดูกาล เช่น ในพื้นที่เขตภาคตะวันออก พันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง ถ้าออก ดอกช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน เก็บเกี่ยวได้ในเดือนกันยายน นับจากดอกโรยต้องใช้เวลาประมาณ 85 วัน แต่ถ้าออกดอกปลายตุลาคม ถึงพฤศจิกายน เพื่อเก็บเกี่ยวในเดือนมีนาคม ต้องใช้เวลาประมาณ 110-120 วัน
อายุเก็บเกี่ยวสำหรับมะม่วงแปรรูป
•ต้องเก็บเมื่อแก่จัดแต่ยังไม่สุก มะม่วงที่อ่อนหรือสุกแล้วโรงงานจะไม่รับซื้อสำหรับ ผลิตภัณฑ์ประเภท มะม่วงในน้ำเชื่อม แช่อิ่มอบแห้ง มะม่วงดองเกลือ น้ำมะม่วง
•ใช้มะม่วงได้ทั้งแก่ และอ่อนผลเล็ก ซึ่งอาจเป็นผลกระเทยหรือผลที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภท ผลิตภัณฑ์มะม่วงเส้นดองเค็มและอบแห้ง
วิธีการเก็บเกี่ยว
•ใช้วิธีการปฏิบัติในขณะทำการเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง ต้องไม่ทำให้มะม่วงเกิดแผลรอยขีดข่วน แตก หรือเกิดการชอกช้ำ
•กรณีของมะม่วงเพื่อแปรรูป หากต้องมีการเขย่าต้น ต้องอย่าให้มะม่วงตกกระแทกพื้นต้องมีผ้าใบหรือวัสดุ รองรับเพื่อลดการตกกระแทก และปนเปื้อนเศษดิน
•ใช้วิธีการเก็บเกี่ยวให้เหลือขั้วผลยาว ป้องกันน้ำยางไหลจากผล
•มีภาชนะรองรับเพื่อสะดวกในการขนย้ายมะม่วง ภาชนะที่ใช้ควรมีวัสดุรองรับแรงที่เกิดจากการกระแทก ในระหว่างที่ทำการขนย้ายมะม่วง เช่น ตะกร้าพลาสติกสำหรับผลไม้ที่สามารถวางซ้อนกันได้โดยไม่กดทับ มะม่วงในตะกร้าที่อยู่ชั้นล่าง
•รีบนำมะม่วงที่เก็บเกี่ยวแล้วเข้าที่ร่มและเย็นระหว่างรอการเก็บเกี่ยวให้เสร็จ
•รีบขนย้ายมะม่วงทั้งหมดไปยังโรงเรือนคัดบรรจุ เพื่อปฏิบัติการหลังการเก็บเกี่ยว
วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
การเก็บรักษาผลสด
การชะลอการเสื่อมคุณภาพ ทั้งจากทางกายภาพ และชีวภาพเพื่อให้สามารถเก็บรักษา หรือมีอายุวางจำหน่าย ได้นาน เมื่อมะม่วงถึงโรงเรือนคัดบรรจุ ควรปฏิบัติดังนี้
•คัดเลือกเอาผลที่มีตำหนิออก เช่น ผลที่มีแผล หรือลักษณะที่ผิดปกติจากโรค เช่น แอนแทรคโนส และขั้วผลเน่า หรือตำหนิจากแมลง เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย ราดำ เป็นต้น เพื่อมิให้เป็นแหล่ง แพร่กระจายของเชื้อที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเน่าในภายหลัง
•ตัดขั้วมะม่วงให้มีความยาวเหลือไม่เกิน 1 เซนติเมตร เพื่อให้น้ำยางไหลพุ่งออกจากผล
•พักรอให้น้ำยางที่เหลือค่อย ๆ ไหลออกจากผลจนแห้ง ด้วยการคว่ำผลลงบนตะแกรงให้ไหล่ผล วางรองบนวัสดุที่ไม่คมหรือไม่ทำให้ผลมะม่วงเกิดแผลหรือช้ำปล่อยให้น้ำยางไหลผ่านช่องระบาย ลงท่อรองรับจนกว่าน้ำยางแห้ง
•ล้างทำความสะอาดมะม่วงในน้ำที่สะอาด น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำที่ไหลหรือเปลี่ยนน้ำบ่อยครั้ง
• ที่ใช้อาจผสมสารช่วยทำความสะอาดผลไม้ที่เป็นที่ยอมรับว่า ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขอนามัย และ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เช่น คลอรีน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
•ผึ่งให้น้ำที่เกาะบนผิวมะม่วงแห้ง
•คัดขนาดผลและระดับคุณภาพ
•บรรจุลงภาชนะหรือทำการปฏิบัติขั้นตอนต่อไปเพื่อการเก็บรักษา ขนส่ง หรือจำหน่าย
การยืดอายุมะม่วง
การยืดอายุมะม่วงระหว่างรอการจำหน่าย หรือการขนส่งอาจใช้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกันดังนี้
การห่อผล
เพื่อลดการคายน้ำ ลดการกระแทก การเสียดสี และอาจป้องกันการติดต่อของโรค อาจใช้วัสดุห่อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ร่วมกับการบรรจุภัณฑ์ ก่อนการจำหน่ายดังนี้
•ใช้โฟมตาข่ายเพื่อลดการกระแทก
•ใช้กระดาษห่อเพื่อลดการเสียดสี
•ใช้พลาสติกที่มีรูพรุนขนาดเล็ก เพื่อลดการคายน้ำและปรับสภาพแวดล้อมที่หุ้มห่อมะม่วงให้มี ความชื้นสูงพอเหมาะ โดยไม่เกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ
การลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นสัมพันธ์
•เพื่อชะลอการหายใจและการคายน้ำ สามารถยืดอายุมะม่วงให้อยู่ในสภาพสดได้นานขึ้น
•สภาพที่เหมาะสมในการเก็บรักษา คือ อุณหภูมิระหว่าง 13-15 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95%
•หลีกเลี่ยงการใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 13 องศาเซลเซียส ในการเก็บรักษา เพราะอาจทำให้สีผิวของผลมะม่วง มีสีคล้ำหรือเปลี่ยนสี ผลน่วมฉ่ำน้ำ ถ้ารุนแรง ผลจะไม่สุกเนื่องจากอาการที่เรียกว่าสะท้านหนาว
•สร้างความทนทานต่อความเย็นโดยวิธีการค่อย ๆ ลดระดับอุณหภูมิลงเป็นช่วง ๆ หรือเป็นระยะ เพื่อให้มะม่วงเกิดการปรับตัวต่อสภาพอุณหภูมิที่ต่ำได้
การเคลือบผิว
•เพื่อให้ผิวมีความเงางามและลดการคายน้ำ ขณะเดียวกันยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษา
•สารที่ใช้เคลือบผิวอาจมีส่วนประกอบของไขคาร์นูบา ไขมันจากพืชหรือสัตว์
•สารเคลือบผิวที่ใช้ต้องปลอดภัยต่อผู้บริโภคและไม่มีผลเสียต่อคุณภาพของมะม่วง เช่น ทำให้ปริมาณ การแลกเปลี่ยนก๊าซ ในการหายใจของมะม่วงผิดปกติไป จนทำให้เกิดกลิ่นและรสที่ไม่พึงประสงค์ ประเทศในเอเซียและออสเตรเลีย จึงไม่นิยมเคลือบผิวมะม่วงเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว
การใช้สารยับยั้งการสังเคราะห์เอทธีลีน
เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ในอนาคตอาจมีการใช้สารที่ยับยั้งการสังเคราะห์เอทธีลีน เพื่อชะลอการสุก สารดังกล่าว เช่น ไดอะไซเพนทาไดอีน (DACP)
การบ่มสุก
เพื่อให้การสุกของมะม่วงสม่ำเสมอพร้อมสำหรับการจำหน่ายหรือบริโภค และลดความเสี่ยงจากการเน่า
วิธีการบ่ม
อาจใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง ดังนี้
•การรมในห้องปิดสนิทด้วยแก๊สเอทธีลีน โดยใช้ความเข้มข้น 0.01 ไมโครลิตรต่อลิตรที่ 20-25 องศา เซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95 เปอร์เซ็นต์ นาน 24 ชั่วโมง วิธีนี้ชลอเวลาในการสุกได้ 3-7 วัน
•การบ่มด้วยแก๊สอะเซทธีลีน หรือถ่านแก๊สที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ในอัตรา 50 กรัม ต่อมะม่วง ประมาณ 15 กิโลกรัม โดยต้องระวังอย่าให้ผลมะม่วงสัมผัสกับถ่านแก๊ส ทำการปิดคลุมด้วยผ้าใบ 1-2 คืนก่อนเปิดผ้าใบเพื่อให้มะม่วงเริ่มสุก
•การจุ่มในสารละลายเอทธีฟอน ความเข้ม 750 มิลลิลิตรต่อลิตร ที่มี 2-chloroethyl phosphonic acid เป็น active ingredient นาน 2-3 นาที แล้วผึ่งให้แห้งเพื่อบ่มสุก ปิดคลุมด้วยผ้าใบ 1 คืน จึงเปิดผ้าคลุมและปล่อยให้มะม่วงบ่มสุก
หมายเหตุ :
มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองแม้เก็บแก่ แต่หลังจากบ่มถ่านแก๊ส 2 คืน รสชาติจะยังเปรี้ยว จึงต้องรอให้บ่มสุกอีก 3 วัน มะม่วงจึงสุกและมีรสหวานจัด
การบ่มมะม่วงเพื่อแปรรูป
แช่ในสารละลายเอธีฟอน หรือผสมเอธีฟอนในน้ำ แล้วใส่บัวรดมะม่วงที่ใส่ในถังขนาดบรรจุ 5-7 ตัน ปิดด้วยผ้าใบพลาสติก เป็นเวลา 1 คืน ทำการเปิดผ้าใบในวันรุ่งขึ้น และปล่อยมะม่วงไว้อีกประมาณ 24 ชั่วโมง ก่อนทำการแปรรูป หากต้องใช้มะม่วงสุกมากในการแปรรูป อาจต้องเพิ่มระยะเวลาในการบ่มให้นานขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น